ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บล. คันทรี่กรุ๊ป” ที่ “BBB-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 16, 2019 18:16 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงฐานะของบริษัทซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ดำเนินธุรกิจหลักของ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิต “BBB-” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” จากทริสเรทติ้ง) บล. คันทรี่กรุ๊ป เป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักซึ่งถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ โดยบริษัทมีสัดส่วนฐานทุนและรายได้เป็นส่วนใหญ่ของฐานทุนและรายได้ของบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์

อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ โดยอันดับเครดิตยังได้รับการสนับสนุนจากสภาพคล่องและฐานทุนที่เพียงพอของบริษัทอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงได้รับแรงกดดันบางส่วนจากการพึ่งพากำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์เป็นแหล่งรายได้ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีความผันผวน รวมทั้งจากสถานะทางการตลาดของบริษัทที่ยังอยู่ในระดับปานกลางแม้จะปรับตัวดีขึ้นและประวัติผลงานจากโครงสร้างธุรกิจใหม่ที่ยังค่อนข้างสั้น

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์

ทริสเรทติ้งมองว่า บล. คันทรี่ กรุ๊ป เป็นสมาชิกผู้ดำเนินการหลักของกลุ่มบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เนื่องจากบริษัทเป็นบริษัทลูกที่เป็นผู้ดำเนินการเพียงรายเดียวและถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ อีกทั้งฐานทุนของบริษัทยังคิดเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญที่ระดับกว่า 40% ของฐานทุนของบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ในขณะที่รายได้รวมของบริษัทก็คิดเป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยถึง 77% ของรายได้รวมของบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย บล. คันทรี่ กรุ๊ป ยังมีความใกล้ชิดกับบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ในเชิงการบริหารจัดการอีกเช่นกันเนื่องจากบริษัทแม่มีการควบคุมดูแลทิศทางและการดำเนินงานของบริษัทผ่านทางคณะกรรมการของบริษัทซึ่งเป็นตัวแทนจากบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์

สถานะทางการตลาดปรับตัวดีขึ้นแต่ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง

อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนสถานะทางการตลาดและรายได้ที่เข้มแข็งขึ้นซึ่งเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของบริษัทยังค่อนข้างเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมซึ่งยังคงเป็นแรงกดดันต่ออันดับเครดิตของบริษัทอยู่ในระดับหนึ่ง บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของความสำเร็จจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ปรับตัวดีขึ้นและจากการที่บริษัทได้เพิ่มการเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์ในปี 2561 หลังจากที่ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2559 ทั้งนี้ ส่วนแบ่งทางการตลาดของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.3% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 จาก 0.8% ในปี 2560 จากการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ส่วนแบ่งทางการตลาดของมูลค่าการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันโดยอยู่ที่ระดับ 6.6% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 หรืออยู่ในอันดับที่ 4 ในอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากส่วนแบ่งที่ระดับ 1.5% หรืออยู่ในอันดับที่ 21 ในปี 2560 อันมีปัจจัยขับเคลื่อนจากผลิตภัณฑ์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่าง ๆ อาทิ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงดัชนีหุ้น (SET Futures) สัญญาออปชั่น (Options) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหุ้นรายตัว (Single Stock Futures) และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (Gold Futures)

การกระจายตัวที่ค่อยเป็นค่อยไป

รายได้ของบริษัทส่วนหนึ่งมาจากกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ ซึ่งมีส่วนที่เป็นเงินลงทุนในตราสารหนี้และเงินลงทุนในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเอง (Proprietary Trade) ที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ทั้งนี้ ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าด้วยโครงสร้างธุรกิจที่ปรับใหม่นั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถลดการพึ่งพากำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ลงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในส่วนธุรกิจอื่น ๆ โดยเฉพาะจากตราสารอนุพันธ์และรายได้ค่าธรรมเนียม

ในปัจจุบันสัดส่วนของกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ของบริษัทมีสัดส่วนที่สูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยในปี 2559-2561 รายได้ดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยที่ระดับ 14% ของรายได้รวมของบริษัท เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ประมาณ 10% และคิดเป็น 18% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 อย่างไรก็ตาม บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการกระจายตัวของรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น โดยรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ของบริษัทเพิ่มขึ้น 9 เท่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 จากปี 2560 ซึ่งคิดเป็น 23% ของรายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 จากสัดส่วน 2% ในปี 2560 รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยมาจากทั้งธุรกิจวาณิชธนกิจและการเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน ทั้งนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมและค่าบริการคิดเป็น 15% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 จากสัดส่วน 12% ในปี 2560

ความสามารถในการทำกำไรเริ่มปรับตัวดีขึ้น

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ ทริสเรทติ้งคาดว่าการพัฒนาในเชิงบวกเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจากฐานรายได้ที่เติบโตขึ้นและการบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 53.7 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 จาก 17.3 ล้านบาทในปี 2561 อันเป็นผลมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัท บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เป็น 2.2% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 จาก 0.4% ในปี 2561 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับเต็มปีแล้ว โดยตัวเลขดังกล่าวถือว่าเข้าใกล้ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 2.8% มากขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ในช่วง 2%-3% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิของบริษัทยังลดลงมาอยู่ที่ระดับ 65.4% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 จาก 81.9% ในปี 2561 จากการมีฐานรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นแม้ว่าค่าใช้จ่ายพนักงานจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม

สภาพคล่องที่เพียงพอและฐานทุนที่แข็งแกร่ง

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอเนื่องจากบริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อสินทรัพย์รวมที่ระดับ 53.9% ณ เดือนมิถุนายน 2562 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 40.2% อีกทั้งบริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่งซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องและรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทได้

แม้ว่าภาระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากการขยายธุรกิจล่าสุด แต่ฐานทุนที่ระดับ 2.9 พันล้านบาทของบริษัทก็น่าจะเพียงพอสำหรับการรองรับผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทเอง โดย ณ เดือนมิถุนายน 2562 บริษัทมีอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ที่ปรับตัวเลขแล้วซึ่งเป็นมาตรวัดภาระหนี้อยู่ที่ระดับ 76.7% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 63.7% ในปี 2561 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 50.9% ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ระดับ 99.0% ในปี 2561 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ทางการกำหนดที่ระดับ 7% ค่อนข้างมาก

ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์และความเสี่ยงด้านเครดิต

บริษัทได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์อยู่ในระดับหนึ่งเนื่องจากบริษัทมีธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยบัญชีของบริษัทเอง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทสามารถจัดการกับความเสี่ยงดังกล่าวได้เนื่องจากบริษัทมีเงินลงทุนในตราสารหนี้เป็นส่วนใหญ่และใช้กลยุทธ์การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่ผันผวนตามราคาตลาด อีกทั้งบริษัทยังมีระบบการดูแลความเสี่ยงที่เพียงพอเพื่อคอยติดตามเงินลงทุนของบริษัท เช่น การจำกัดผลขาดทุนของเงินลงทุน (Stop-loss Limits) เป็นต้น ทั้งนี้ กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ของบริษัทลดลงในปี 2561 มาอยู่ที่ 29 ล้านบาทจาก 144 ล้านบาทในปี 2560 จากการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเงินลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทซึ่งมีสัดส่วน 68% ของเงินลงทุนทั้งหมดของบริษัทในปี 2561 อย่างไรก็ตาม การลดลงของกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวดังจะเห็นได้จากกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 72 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทอาจมีความผันผวนในแต่ละปีซึ่งขึ้นอยู่กับผลกระทบจากสภาวะตลาดที่มีต่อเงินลงทุนของบริษัทนั่นเอง

เงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทอยู่ที่ 525 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2562 เพิ่มขึ้นจาก 363 ล้านบาทในปี 2560 และคิดเป็น 0.2 เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท เงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 0.8% ของเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรม อีกทั้งค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเป็นอย่างมากด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาระบบการควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิตที่รัดกุมเพื่อป้องกันหนี้สูญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ทริสเรทติ้งตั้งสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2562-2565 ดังต่อไปนี้

• รายได้รวมของบริษัทจะเติบโตในอัตรา 4%-8%

• อัตราค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.08%

• อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิจะอยู่ที่ระดับ 68%-70%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะในการเป็นบริษัทลูกที่เป็นบริษัทหลักของบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และจะยังคงมีสัดส่วนกำไรสุทธิและฐานทุนที่คิดเป็นนัยสำคัญต่อกำไรสุทธิและฐานทุนของกลุ่มต่อไป

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้หากสถานะเครดิตของบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เปลี่ยนแปลงไป หรือสถานะในการเป็นบริษัทย่อยของ บล. คันทรี่ กรุ๊ป ที่มีต่อบริษัทคันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เปลี่ยนแปลงไป

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- การจัดอันดับเครดิตบริษัทหลักทรัพย์, 21 ธันวาคม 2560

- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558

บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ