ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล” ที่ “A-” และเปลี่ยนแนวโน้ม เป็น “Positive” จาก “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 8, 2019 09:55 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกันยังได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Positive" หรือ “บวก” จาก "Stable" หรือ “คงที่” โดยการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งจะสร้างฐานรายได้ขนาดใหญ่ที่ระดับประมาณ 1-1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในขณะที่บริษัทยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดซึ่งมีรายได้ระดับปานกลางและกลุ่มคนไข้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่อยู่ในระดับสูง และภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ประกอบการในธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

รายได้เติบโตทั้งจากกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดและกลุ่มคนไข้ในระบบประกันสังคม

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับประมาณ 7%-9% ต่อปีในช่วงปี 2562-2565 โดยบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ระดับ 9 พันล้านบาทถึง 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ปัจจัยขับเคลื่อนจะมาจากการเติบโตของรายได้จากกลุ่มคนไข้ทั้ง 2 กลุ่มคือกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 65%-66% ของรายได้จากบริการทางการแพทย์รวมของบริษัท และกลุ่มคนไข้ในระบบประกันสังคมซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 34%-35% การขยายเครือข่ายโรงพยาบาลและการให้บริการทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคที่มีความซับซ้อนรุนแรงมากขึ้นทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดให้บริการด้านสุขภาพได้

รายได้จากกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ระดับ 11% โดยเพิ่มจากระดับ 3.14 พันล้านบาทในปี 2556 เป็น 5.21 พันล้านบาทในปี 2561 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 รายได้ยังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีก 15% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.78 พันล้านบาท รายได้ที่เพิ่มขึ้นยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ “World Medical Hospital” (WMC) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เน้นให้บริการแก่กลุ่มคนไข้เงินสดรายได้สูงและคนไข้ต่างชาติ ทั้งนี้ WMC มีรายได้เพิ่มขึ้นสูงมากด้วยอัตราการเติบโตเกือบ 100% โดยอยู่ที่ระดับ 1.10 พันล้านบาทในปี 2561 จากระดับ 0.57 พันล้านบาทในปี 2560 จากการมีจำนวนคนไข้ต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้นจาก

“ศูนย์รักษาแผลเบาหวานที่เท้า” เป็นสำคัญ นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนจะเปิด “ศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตร” ที่ WMC ภายในช่วงปลายปี 2562 เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตจากคนไข้กลุ่มใหม่ ๆ อีกด้วย

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ประกันสังคมที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ประกันตนที่ยังเพิ่มสูงขึ้นและค่าบริการทางการแพทย์ต่อคนที่เพิ่มขึ้น โดย ณ เดือนมิถุนายน 2562 ลูกค้ากลุ่มประกันสังคมที่ลงทะเบียนกับโรงพยาบาลในเครือข่ายของบริษัทมีจำนวน 865,592 คน เพิ่มขึ้นจาก 804,150 คน ณ สิ้นปี 2561 หรือคิดเป็นสัดส่วน 5.3% ของจำนวนผู้ประกันตนทั้งหมดในระบบประกันสังคมทั่วประเทศ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตราค่าบริการทางการแพทย์ต่อคนจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย เนื่องจากโดยทั่วไปสำนักงานประกันสังคมจะมีการปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้นทุก ๆ 2 ปี การมีฐานคนไข้ลงทะเบียนในระบบประกันสังคมจำนวนมากทำให้บริษัทเกิดการประหยัดจากขนาดและช่วยคงระดับอัตราการใช้งานอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่

ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับสูง

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทในช่วงปี 2562-2565 จะรักษาระดับอยู่ที่ 25%-26% ซึ่งสะท้อนต้นทุนดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่ในปี 2563 และปี 2564 ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตรากำไรที่ระดับ 25%-28% ซึ่งสูงกว่าอัตรากำไรโดยเฉลี่ยของคู่แข่งในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งอยู่ที่ระดับ 20% อันเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดเพิ่มสูงขึ้นและจากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของบริษัท

อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 25.5% จากระดับ 27.7% ในปี 2561 อันเป็นผลมาจากต้นทุนการดำเนินงานคงที่ที่เพิ่มสูงขึ้นและจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจำนวนมากจาก ”โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง” ที่เพิ่งเปิดใหม่ อย่างไรก็ตาม

ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 25% เนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าการทำกำไรของ WMC จะยังคงดีอย่างต่อเนื่อง โดย WMC มีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่เป็นบวกมาตั้งแต่ปี 2560 และมีกำไรสุทธิเป็นบวกในปี 2561 ทั้งนี้ อัตรากำไรดังกล่าวของ WMC เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาอยู่ที่ 287 ล้านบาทในปี 2561 และ 119 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 จากระดับ 49 ล้านบาทในปี 2560 นอกจากนี้ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง ที่เปิดใหม่ก็มีการเติบโตของรายได้ที่สูงมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 โดยเพิ่มขึ้นในอัตรา 84% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังคาดว่าโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง จะมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเป็นบวกภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ด้วย ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการมุ่งเน้นควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่องของบริษัทและการทำกำไรที่ดีขึ้นของโรงพยาบาลใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเครือข่ายจะช่วยให้การทำกำไรโดยรวมของบริษัทยังคงเติบโตอย่างสม่ำเสมอในช่วงระยะปานกลาง

ระดับภาระหนี้สินทางการเงินค่อนข้างต่ำโดยเปรียบเทียบ

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ บริษัทมีค่าใช้จ่ายเงินลงทุนตามแผนโดยรวมประมาณ 6 พันล้านบาทในช่วงปี 2562-2565 โดยเป็นเงินลงทุนสำหรับก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ในระหว่างปี 2562-2565 จำนวนประมาณ 2.9 พันล้านบาทและใช้เพื่อการบำรุงรักษาสินทรัพย์อีกประมาณปีละ 0.4-1.0 พันล้านบาท บริษัทมีโครงการโรงพยาบาลใหม่ที่กำลังก่อสร้างทั้งสิ้น 3 โครงการ คือ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อรัญประเทศ ในจังหวัดสระแก้ว ขนาด 90 เตียง โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขนาด 254 เตียง และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ในจังหวัดปราจีนบุรี ขนาด 115 เตียง

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 5.6-6.3 พันล้านบาทในช่วงปี 2562-2565 ในขณะเดียวกันก็คาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ในช่วง 2.3-2.8 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับประมาณ 2 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับ 35%-44% ในระหว่างปี 2562 จนถึงปี 2565 และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายน่าจะอยู่ในช่วง 12-15 เท่าในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

การแข่งขันที่รุนแรงและมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวจะส่งผลทำให้จำนวนผู้ป่วยชาวไทยลดลงและยังคาดว่าจะมีโรงพยาบาลเอกชนเกิดขึ้นใหม่อีกหลายแห่งในช่วงระยะ 3 ปีข้างหน้าซึ่งจะทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน นอกจากจะต้องแข่งขันกับโรงพยาบาลเอกชนไทยด้วยกันเองแล้ว โรงพยาบาลเอกชนที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นผู้ป่วยชาวต่างชาติยังจะต้องแข่งขันกับโรงพยาบาลในต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าประเทศไทยจะยังคงมีความได้เปรียบทางการแข่งขันเหนือประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปจากปัจจัยสนับสนุนที่รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวต้องการเข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ในขณะเดียวกัน โรงพยาบาลที่เข้าร่วมในระบบรักษาพยาบาลภาครัฐก็จะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบของระบบ เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราการชำระเงินคืนและเงื่อนไขบทบัญญัติของสัญญาการให้บริการ รวมถึงการขยายการรักษาให้ครอบคลุมโรคบางชนิด การรักษาที่มีขั้นตอน และสถานะการคลังของรัฐบาล ฯลฯ อีกด้วย ทริสเรทติ้งเชื่อว่าคณะผู้บริหารของบริษัทจะสามารถรับมือกับความท้าทายด้านกฎระเบียบในอนาคตเพื่อที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเอาไว้ให้ได้

ไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการควบคุมราคายา

เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 รัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ที่กำหนดให้ยารักษาโรคเป็นสินค้าควบคุม โดยโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่งต้องแจ้งราคาซื้อและราคาจำหน่ายยาแก่กรมการค้าภายในและต้องแสดงราคาจำหน่ายผ่านทางเวบไซต์ของโรงพยาบาลหรือแสดงผ่านเครื่องหมาย QR Code นอกจากนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงราคาจำหน่าย โรงพยาบาลจะต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงต่อกรมการค้าภายในก่อนการเปลี่ยนแปลงราคา โรงพยาบาลที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ โรงพยาบาลเอกชนต้องแจ้งชื่อยาให้แก่ผู้ป่วยเมื่อผู้ป่วยมีความจำนงขอซื้อยานอกโรงพยาบาลด้วย ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรายได้ค่ายาของบริษัทเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงซื้อยาจากโรงพยาบาล อีกทั้งบริษัทยังเชื่อว่าราคาจำหน่ายที่สูงกว่าราคาในร้านขายยาทั่วไปนั้นสะท้อนถึงคุณภาพของยาและมาตรฐานในการเก็บรักษาที่ดีกว่า นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถเรียกคืนยาที่อาจมีปัญหาหรือมีการแจ้งเรียกคืนจากบริษัทจำหน่ายยาได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย

มีสภาพคล่องที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งคาดว่าสภาพคล่องของบริษัทจะยังคงมีเพียงพอในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า บริษัทมีแหล่งเงินทุนมาจากเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 0.66 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2562 และคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 1.9-2.2 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2562-2565 ในขณะที่ความต้องการใช้เงินทุนจะใช้เพื่อการชำระหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดและใช้เป็นเงินลงทุนตามแผน โดยเงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ปีละประมาณ 1.8-2.0 พันล้านบาทในช่วงปี 2562-2563 และ 0.3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565 บริษัทจะมีหนี้ระยะสั้นและหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในปี 2563 จำนวนประมาณ 0.37 พันล้านบาทและมีหนี้ระยะยาวและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2564 จำนวน 1.79 พันล้านบาท นอกจากนี้ ยังเป็นที่คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลอีกประมาณ 0.60-0.63 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้าอีกด้วย

ข้อกำหนดทางการเงินที่บริษัทมีกับผู้ถือหุ้นกู้และธนาคารระบุให้บริษัทต้องคงระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุนไม่ให้เกิน 2 เท่า ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2562 บริษัทสามารถรักษาข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวเอาไว้ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ได้โดยมีอัตราส่วนอยู่ที่ระดับ 1 เท่าเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทแล้วทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

• รายได้ของบริษัทน่าจะเติบโตที่ระดับประมาณ 7%-9% ต่อปีในช่วงปี 2562-2565

• อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 25%-26% ต่อปีในช่วงปี 2562-2565

• บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 6 พันล้านบาทโดยรวมในช่วงปี 2562-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยจะสามารถสร้างฐานรายได้ขนาดใหญ่ที่ระดับประมาณ 1-1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในขณะที่ยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถสร้างฐานรายได้ให้มีขนาดใหญ่ในระดับประมาณ 1.0-1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในขณะที่ยังคงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ที่ระดับประมาณ 2 เท่าไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” ได้หากผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทอ่อนแอกว่าที่คาดไว้

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH)
อันดับเครดิตองค์กร: A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BCH211A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2564 A-
BCH22DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2565 A-
BCH226A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2565 A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ