ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. บี. กริม เพาเวอร์” ที่ “A” หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ “A-” หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ที่ “BBB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 12, 2020 16:10 —ทริส เรตติ้ง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีโรงไฟฟ้าที่กระจายตัวหลากหลาย

ณ เดือนธันวาคม 2562 บริษัทเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้าจำนวน 46 แห่งทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศด้วยกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,896 เมกะวัตต์ หรือเท่ากับ 1,819 เมกะวัตต์เมื่อคิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้น

บริษัทมีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจำนวน 17 โครงการซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 68% ของกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมของบริษัท โดยโรงไฟฟ้าเหล่านี้ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำในภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย อาทิ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ชลบุรี) อมตะซิตี้ (ระยอง) แหลมฉบัง ดับบลิวเอชเอชลบุรี 1 บางกะดี และดับบลิวเอชเอ (ตะวันออก) ในขณะที่กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมอีก 32% มาจากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์จำนวน 22 แห่งในประเทศไทย และ 2 แห่งในประเทศเวียดนาม โรงไฟฟ้าพลังน้ำจำนวน 3 แห่งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โรงไฟฟ้าดีเซลจำนวน 1 แห่งในประเทศเวียดนาม และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 1 แห่งในประเทศไทย โรงไฟฟ้าทั้งหมดนี้ไม่มีโรงใดเลยที่มีสัดส่วนกำลังการผลิตเกิน 15% ของกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมของบริษัท

กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว

กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่มีกับ กฟผ. และกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียง ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัทคือ กฟผ. โดยในปี 2560-2562 บริษัทมียอดขายกับ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วน 65% ของยอดขายรวม ส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยนั้นคิดเป็นสัดส่วน 29% ของรายได้ต่อปี ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ของไทย รวมถึงการไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos -- EDL) การไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity -- EVN) และลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทส่วนใหญ่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ. ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดยมีอายุสัญญาประมาณ 21-25 ปี สัญญาดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงด้านการตลาดเนื่องจาก กฟผ. ตกลงรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำจำนวน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาซึ่งคำนวณจากจำนวนชั่วโมงที่สามารถดำเนินงานได้ นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้ายังมีกลไกส่งผ่านภาระค่าก๊าซเพื่อลดความเสี่ยงจากราคาเชื้อเพลิงอีกด้วย

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทยังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและสัญญาซื้อขายไอน้ำกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมอีกหลายรายซึ่งกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ด้วย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น โดยสัญญาดังกล่าวมีอายุระหว่าง 5-15 ปี ในส่วนของอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับสัญญาที่มีกับลูกค้าอุตสาหกรรมนั้นยังมีการระบุปริมาณรับซื้อขั้นต่ำอีกด้วย โดยอัตราค่าไฟฟ้าจะอิงกับอัตราค่าไฟฟ้าของ กฟภ. ที่จำหน่ายให้แก่กิจการขนาดใหญ่ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่า Ft อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นจะมีช่วงเวลาล่าช้า อีกทั้งจำนวนที่ปรับและระยะเวลาก็ยังขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบอีกด้วย นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทยังมีสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ระยะเวลา 21-25 ปีซึ่งเท่ากับอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่บริษัทมีกับ กฟผ. ด้วย

โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ของบริษัทในประเทศไทยทุกโครงการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะเวลา 25 ปีกับ กฟภ. และ กฟน. ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer -- VSPP) โดยได้รับอัตราค่าไฟฟ้าคงที่จำนวน 4.12-5.66 บาทต่อหน่วย (กิโลวัตต์-ชั่วโมง) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 3 แห่งของบริษัทซึ่งตั้งอยู่ใน สปป. ลาว มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ขนาด 25 เมกะวัตต์และมีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ EDL ระยะเวลา 25 ปี ทั้งนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำแต่ละโครงการของบริษัทมีอัตราค่าไฟฟ้าคงที่ที่ 0.065 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมมีผลการดำเนินงานที่ได้รับการยอมรับ

บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและบริหารโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซความร้อนร่วมโดยบริษัทมีบุคลากรของตนเองในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงประจำวัน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทมีดัชนีความพร้อมอยู่ในระดับสูงเนื่องจากมีการหยุดซ่อมนอกแผนงานน้อยและอัตราความร้อนของโรงไฟฟ้าก็อยู่ในระดับที่ดีกว่าที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าด้วยเช่นกัน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งของบริษัทมีค่าดัชนีความพร้อมอยู่ในช่วง 91%-100% ซึ่งดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าดังกล่าวยังมีอัตราความร้อนที่ดีกว่าที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอีกด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าของบริษัทยังใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วจากผู้ผลิตชั้นนำ เช่น Siemens และ GE Power (GE) อีกด้วย ในขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมแต่ละแห่งยังมีสัญญาบำรุงรักษาระยะยาว (Long-term Service Agreement -- LTSA) ที่มีอายุจนถึง 16 ปีเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเครื่องจักรจะมีความพร้อมในการเดินเครื่องตลอดเวลาและยังช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอีกด้วย

ขยายกำลังการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม

ในปี 2561 บริษัทได้ประกาศการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 2 แห่งในประเทศเวียดนามซึ่งมีกำลังการผลิตรวมคิดตามสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้นเท่ากับ 437 เมกะวัตต์ บริษัทสามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งดังกล่าวและเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนดคือภายในเดือนมิถุนายน 2562 และได้รับอัตราค่าไฟฟ้าคงที่ที่จำนวน 0.0935 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงจากการไฟฟ้าเวียดนามภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าอายุ 20 ปี การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของทั้ง 2 โครงการไม่พบความเสี่ยงจากการซื้อไฟฟ้าไม่เต็มจำนวนที่ผลิตได้ (Curtailment Risk) เนื่องจากทั้ง 2 โครงการตั้งอยู่ในจังหวัดเต็ยนิญ (Tay Ninh) และจังหวัดฟู้เอียน (Phu Yen) ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ในระดับสูง

ภาระหนี้สินจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงขยายกำลังการผลิต

เป็นที่คาดหมายว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายส่วนทุนจำนวนมากเพื่อใช้ลงทุนพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในแผนซึ่งประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าทั้งแบบดั้งเดิมและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะใช้เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 7 แห่งซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยมีกำหนดเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ภายในปี 2565 ในการนี้ โรงไฟฟ้า 5 โครงการจะพัฒนาภายใต้โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP Replacement) ตามแผนนโยบายพัฒนาพลังงานแห่งชาติปี 2561 (Power Development Plan -- PDP2018) ซึ่งเป็นการต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของผู้ผลิตรายเล็กที่จะหมดอายุในช่วงปี 2560-2568 ออกไปอีก 25 ปี โดยที่ในสัญญาฉบับใหม่ กฟผ. จะลดจำนวนปริมาณสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเดิม 90 เมกะวัตต์ลงเหลือ 30 เมกะวัตต์ นอกจากโรงไฟฟ้า 5 โครงการที่กล่าวมาแล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมอีก 2 โครงการภายใต้ระเบียบรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กปี 2553 อีกด้วย

ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2563-2565 เพื่อใช้ก่อสร้างโครงการที่มีอยู่ทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทยังจะต้องก่อหนี้เพิ่มอีกประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2563 เพื่อใช้ชำระคืนเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามอีกด้วย

ณ ปลายปี 2562 บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจำนวน 4.1 หมื่นล้านบาท โดยภาระหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วยังจะเพิ่มขึ้นได้จนถึง 9.7 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ทั้งนี้ ประมาณการอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทนั้นน่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 70% ในปี 2565 จาก 51% ในปี 2562 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอาจจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 8 เท่าได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 6 เท่าเมื่อโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมทุกโครงการเปิดดำเนินงานเต็มปีในปี 2566

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

• ในช่วงปี 2563-2565 ค่าดัชนีความพร้อมเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในช่วง 96%-98%

• ประมาณการรายได้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 4.5 หมื่นล้านบาทต่อปีโดยจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ในช่วง 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 26%-27%

• เงินสดในมือจะมีไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท

• เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 2-2.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

• ภาระหนี้ที่จะต้องชำระคืน (เงินกู้ยืมและหุ้นกู้) จะอยู่ที่ประมาณ 3.9-7.2 พันล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีการดำเนินงานที่ราบรื่นและจะสร้างกระแสเงินสดได้ตามแผน แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถจัดการบริหารโครงสร้างเงินทุนให้สอดคล้องตามนโยบายของบริษัทที่กำหนดให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนทุนต้องน้อยกว่า 2 เท่า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถขยายกำลังการผลิตได้โดยสามารถควบคุมโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งอยู่ได้ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากโครงสร้างทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งเป็นผลมาจากการขยายกำลังการผลิตอย่างมากด้วยการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 12 กันยายน 2561

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558

บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM)

อันดับเครดิตองค์กร: A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

BGRIM20OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A-

BGRIM21OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A-

BGRIM23OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

BGRIM28OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-

BGRIM19PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 8,000 ล้านบาท BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2563 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ