ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ” ที่ “A” และเปลี่ยนแนวโน้ม เป็น “Negative” จาก “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 28, 2020 09:59 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” ด้วย โดยแนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งต่อสถานะการเงินของบริษัทที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงจากการที่บริษัทมีภาระหนี้ในระดับสูงและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในปี 2563 ที่จะอ่อนแอลงอันเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้ง มองว่าผลกระทบในเชิงลบจากโควิด-19 จะเกิดเพียงชั่วคราวและสถานะทางธุรกิจของบริษัทในระยะยาวจะยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าบริษัทยังต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าที่กระแสเงินสดจากธุรกิจรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจะเติบโตหลังจากการเปิดให้บริการส่วนต่อขยายครบทั้งหมด

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินธุรกิจทางด่วนที่สม่ำเสมอและโอกาสในการเติบโตของธุรกิจรถไฟฟ้า ทั้งนี้ การที่บริษัทได้รับการต่ออายุสัมปทานทางด่วนออกไปจนถึงปี 2578 นั้น ช่วยสนับสนุนสถานะเครดิตของบริษัทอีกด้วย เนื่องจากจะช่วยให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ในระยะยาว

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง

บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเนื่องจากโอกาสที่ผู้ประกอบการรายอื่นจะเข้ามาแข่งขันในธุรกิจหลักของบริษัท คือ ธุรกิจทางด่วนและธุรกิจรถไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในประเทศไทยมีผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายที่มีขีดความสามารถและเงินทุนที่มากพอที่จะแข่งขันประมูลงานโครงการก่อสร้างและดำเนินงานทั้งระบบทางด่วนและระบบขนส่งมวลชนทางราง

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทยังเป็นผลมาจากความสม่ำเสมอของรายได้จากธุรกิจทางด่วนอันเป็นผลจากการมีที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ของทางด่วนขั้นที่ 2 ซึ่งเชื่อมต่อกับทางด่วนขั้นที่ 1 ทั้งนี้ การที่บริษัทได้รับการต่ออายุสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 และต่อสัญญาโครงการทางด่วนบางปะอิน - ปากเกร็ด (ส่วน C+) ออกไปเมื่อเร็ว ๆ นี้นั้นจะช่วยทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่มั่นคงในระยะยาว

นอกจากนี้ การที่ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นเครือข่ายเชื่อมโยง ถึงกันยังจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของบริษัทอีกด้วย จากการที่บริษัทเป็นผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์และมีความพร้อมสูง บริษัทจึงอยู่ในสถานะได้เปรียบที่จะชนะการประมูลโครงการภาครัฐอีกหลาย ๆ โครงการในอนาคต นอกจากนี้ การที่เส้นทางเดินรถของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมีลักษณะเป็นวงแหวนก็เอื้อประโยชน์ในการรับผู้โดยสารต่อมาจากรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ เพื่อป้อนให้แก่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอีกด้วย

ผลกระทบในระยะสั้นจากโควิด-19

ทริสเรทติ้งมองว่าผลกระทบในเชิงลบจากโควิด-19 ที่มีต่อปริมาณการจราจรบนทางด่วนและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินนั้นจะเป็นเพียงชั่วคราว โดยทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณจราจรบน ทางด่วนจะทยอยฟื้นตัวในช่วงเวลาไม่นานหลังจากที่ภาครัฐมีนโยบายผ่อนปรนมาตรการปิดเมือง แต่จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้านั้นอาจต้องใช้เวลาที่นานกว่าในการฟื้นตัว

ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทรายงานปริมาณจราจรและรายได้จากธุรกิจทางด่วนที่ลดลง โดยปริมาณจราจรบนทางด่วนลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่จำนวน 0.99 ล้านเที่ยว ต่อวัน และรายได้ค่าผ่านทางบนระบบทางด่วนโดยเฉลี่ยลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าในอัตรา 21.6% โดยอยู่ที่ 22.16 ล้านบาทต่อวัน อย่างไรก็ดี ได้เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของทั้งปริมาณจราจรและรายได้จากธุรกิจทางด่วนหลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายผ่อนปรนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดต่าง ๆ ทริสเรทติ้งคาดว่าทั้งปริมาณจราจรและรายได้จากธุรกิจทางด่วนจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติหรือต่ำกว่าเล็กน้อยในช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 โดยสมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณจราจรจะลดลงประมาณ 13%-15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และจะกลับสู่ระดับปกติในปี 2564-2565

สำหรับธุรกิจรถไฟฟ้านั้น รายได้ได้รับผลกระทบจากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงเป็นอย่างมากในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน 2563 ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 จำนวนผู้โดยสารโดยเฉลี่ยลดลง 15.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 2.68 แสนเที่ยวต่อวัน และรายได้ค่าโดยสารเฉลี่ย ต่อวันลดลง 10.4% อยู่ที่ 7.18 ล้านบาท การเปิดส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วยบรรเทาผลกระทบจากการลดลงของจำนวนผู้โดยสารและรายได้ โดยทริสเรทติ้งมองว่าการฟื้นตัวของธุรกิจรถไฟฟ้าจะใช้เวลามากกว่าธุรกิจทางด่วน เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะยังคงดำเนินมาตรการการรักษาระยะห่างทางสังคมบางส่วนต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส ซึ่งส่งผลให้รถไฟฟ้า 1 ขบวนสามารถรองรับปริมาณผู้โดยสารได้น้อยลง ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าจำนวนผู้โดยสารโดยเฉลี่ยของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจะอยู่ที่ 2.85-3 แสนเที่ยวต่อวันในปี 2563 และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4-5 แสนเที่ยวต่อวันในปี 2564-2565

รายได้ลดลงในปี 2563 แต่จะปรับดีขึ้นในปี 2564-2565

ทริสเรทติ้งคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานและเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทจะลดลงในปี 2563 ตามสมมติฐานที่ปริมาณการจราจรบนทางด่วนและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าลดลง อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งเชื่อว่าทั้ง 2 ธุรกิจจะฟื้นตัวกลับมาได้หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายลงและมีการยกเลิกมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมโรค

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.4% โดยอยู่ที่ 3.8 พันล้านบาท อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 36.5% บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ 0.8 พันล้านบาท สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.44-1.46 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.7-1.9 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2565 ความสามารถในการทำกำไรคาดว่าจะอ่อนตัวลงในปี 2563 อันเป็นผลจากรายได้ที่ลดลง โดยคาดว่าบริษัทมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 36%-37% ในปี 2563 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 40%-42% ในปี 2564-2565 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับไม่ต่ำกว่า 5.3 พันล้านบาทในปี 2563 และ 7.3-7.6 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2565 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทในปี 2563 และ 4.5-4.8 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2565 ทั้งนี้ โอกาสที่รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะดีกว่าที่คาดการณ์นั้นจะขึ้นอยู่กับการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเป็นหลัก

ภาระหนี้อยู่ในระดับสูง

อันดับเครดิตของบริษัทได้รับแรงกดดันจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง โดยในเดือนมีนาคม 2563 บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินจำนวน 5.68 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งไม่ได้รวมภาระหนี้ประมาณ 0.98 หมื่นล้านบาทจากการลงทุนในระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้าสายสีม่วงเนื่องจากภาระหนี้ดังกล่าวมีสัญญาการชำระคืนหนี้จากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในระยะเวลา 10 ปีรองรับอยู่ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 7.7 เท่า (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้วโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) และมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 6.6% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้วโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน)

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะสั้นถึงปานกลาง โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 5.0-5.2 พันล้านบาทในปี 2563 และประมาณ 0.5-1.0 พันล้านบาทต่อปีในปี 2564-2565 และจากผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อรายได้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2563 โดยสมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และ ค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะอยู่ที่ 11-12 เท่าในปี 2563 และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7.5-8.5 เท่าในช่วงปี 2564-2565 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5% ในปี 2563 และปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 7%-8% ในช่วงปี 2564-2565 ซึ่งอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ระดับดังกล่าวไม่สอดคล้องกับอันดับเครติตปัจจุบันของบริษัทและอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตลงได้ถ้าหากบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ในระดับสูงกว่า 7 เท่าอย่างต่อเนื่อง

สภาพคล่องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ในระยะ 12-24 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการลงทุนรวมประมาณ 5.0-6.2 พันล้านบาทในช่วงดังกล่าว รวมทั้งจะมีภาระทางการเงินที่ครบกำหนดชำระรวมประมาณ 1.51 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลอีกประมาณ 1.8-2.2 พันล้านบาทต่อปี แหล่งสภาพคล่องของบริษัทจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดหมายว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 7.5 พันล้านบาท รวมทั้งเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ เดือนมีนาคม 2563 อีกจำนวน 7.2 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะต้องกู้ยืมเงินเพื่อนำมาใช้ทดแทนหนี้สินบางส่วนที่จะครบกำหนดชำระ ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการได้เมื่อพิจารณาจากพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทและความสัมพันธ์ที่บริษัทมีกับธนาคารต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินลงทุนใน บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีมูลค่ายุติธรรมรวมอยู่ที่ 1.63 หมื่นล้านบาท ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2563 เพื่อเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินอีกด้วย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

• รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.44-1.46 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.7-1.9 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2565

• อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 36%-37% ในปี 2563 และระดับ 40%-42% ในปี 2564-2565

• กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 5.3 พันล้านบาทในปี 2563 และ 7.3-7.6 พันล้านบาทต่อปี ในระหว่างปี 2564-2565

• เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทในปี 2563 และ 4.5-4.8 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2565

• เงินลงทุนจะอยู่ที่ 5-5.2 พันล้านบาทในปี 2563 และประมาณ 0.5-1 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งต่อสถานะการเงินของบริษัทที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงจากการที่บริษัทมีภาระหนี้ในระดับสูงและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในปี 2563 ที่จะอ่อนแอลงอันเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่ารายได้จากการดำเนินธุรกิจรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินยังต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการเติบโตหลังจากการเปิดให้บริการส่วนต่อขยายครบทั้งหมด

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 7 เท่าอย่างต่อเนื่องทั้งจากผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงหรือการลงทุนโดยการก่อหนี้ในระดับสูง

แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทจะได้รับการปรับกลับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” ได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจนบริษัทสามารถรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 7 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่สถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจนมีระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วต่ำกว่า 5 เท่าอย่างต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM)

อันดับเครดิตองค์กร: A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

BEM20OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A

BEM214A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A

BEM216A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,615 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A

BEM225A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A

BEM229A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A

BEM234A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A

BEM236A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A

BEM245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

BEM249A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

BEM254A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A

BEM25OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A

BEM265A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A

BEM266A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,335 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A

BEM27OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A

BEM286A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A

BEM286B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A

BEM295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 12 ปี A

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2563 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ