ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. ทีทีซีแอล” ที่ “BB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 10, 2020 17:41 —ทริส เรตติ้ง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีผลงานเป็นที่ยอมรับในธุรกิจหลัก

บริษัทเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจรซึ่งมีผลงานเป็นที่ยอมรับในตลาดภายในประเทศ โดยบริษัทเน้นงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลักซึ่งประกอบด้วยโรงงานผลิตปิโตรเคมี โรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ โรงงานผลิตปุ๋ย โรงกลั่นน้ำมันและแยกก๊าซ รวมถึงโรงไฟฟ้า ซึ่งสถานะทางธุรกิจของบริษัทเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดีในด้านการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีและโรงไฟฟ้า บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำ 5 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อพิจารณาในแง่ของรายได้และขนาดของสินทรัพย์และยังมีข้อพิสูจน์ถึงผลงานจากการมีลูกค้าจำนวนมากที่เป็นบริษัทกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีขนาดใหญ่อีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการขยับขยายสู่การรับงานโครงการที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อสร้างผลงานในต่างประเทศหลาย ๆ แห่งจนทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ความสามารถในการแข่งขันและสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลง

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันและสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทรายงานผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องด้วยรายได้และงานก่อสร้างใหม่ที่ลดลงอย่างมากหลังจากที่ Toyo Engineering Corporation ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ขายหุ้นที่มีทั้งหมดในบริษัทออกไป ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังต้องเผชิญกับต้นทุนโครงการที่เกินงบประมาณในหลาย ๆ โครงการและยังมีปัญหากับลูกหนี้การค้าจำนวนมากซึ่งทำให้บริษัทจำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้สูญเป็นจำนวนที่สูงมากอีกด้วย กล่าวคือ บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้สูญทั้งสิ้นจำนวน 2.9 พันล้านบาทในช่วงปี 2561-2562 สำหรับลูกหนี้การค้าในโครงการเหมืองเกลือในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) รวมทั้งโครงการแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืดในประเทศกาตาร์ และโครงการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีในประเทศไทย

บริษัทยังคงประสบกับโครงการที่มีปัญหาต่อเนื่องมาจนถึงปี 2563 ซึ่งบริษัทคาดว่าจะต้องตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 830 ล้านบาทเพื่อชดเชยงานที่มีการแก้ไขในโครงการโรงไฟฟ้า 2 แห่งในประเทศไทย ทริสเรทติ้งมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะส่งผลอย่างมากต่อการที่บริษัทจะได้รับงานก่อสร้างโครงการใหม่ ๆ ในอนาคต นอกจากนี้ ภาระการตั้งสำรองหนี้สูญจำนวนมากยังส่งผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากอีกด้วย

บริษัทคาดหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากการผสานความแข็งแกร่งทางธุรกิจร่วมกับ Sojitz Corporation (Sojitz) ซึ่งได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 9% ในปี 2561 อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนทางธุรกิจในระดับที่มากยิ่งขึ้นนั้นยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป ในขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ Idemitsu Kosan ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันจากประเทศญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 5% ซึ่งบริษัทได้วางแผนจะร่วมกันกับหุ้นส่วนทางธุรกิจรายใหม่ดังกล่าวในการพัฒนาโครงการผลิต Black Pellet ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพอัดเม็ดกึ่งไม้กึ่งถ่านที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าอีกด้วย

ขายสินทรัพย์สินเพื่อลดภาระหนี้

บริษัทได้ทำการขายสินทรัพย์ที่ลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าออกไปจำนวนหนึ่งในปี 2561 และปี 2562 โดยมีความพยายามที่จะฟื้นฟูโครงสร้างทางการเงินที่อ่อนแอให้ดีขึ้นและเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่สภาพคล่องในระยะสั้น การขายสินทรัพย์ดังกล่าวประกอบไปด้วยการขายเงินลงทุนจำนวนมากในโครงการสำคัญในประเทศเมียนมาคือโครงการ Ahlone ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 120 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขายหุ้นที่ถือทั้งหมดในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 1 แห่งในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 1 แห่งและโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีก 1 แห่งในประเทศไทยด้วย บริษัทได้รับเงินจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวจำนวนทั้งสิ้น 4.7 พันล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่ใช้ไปในการลดภาระหนี้ของบริษัท

แนวโน้มอุตสาหกรรมที่ไม่สดใสและภาวะการแข่งขันที่รุนแรง

ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าบริษัทจะมีความอ่อนไหวต่อความเป็นวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขอบเขตงานที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและตลาดที่บริษัทให้ความสำคัญ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากจากการชะลอการลงทุนของกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีภาคเอกชน ตลอดจนภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

ในขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการขาดทุนเป็นอย่างมากอีกด้วย ทั้งนี้ งานก่อสร้างต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักลงในช่วงที่มีมาตรการปิดเมืองเนื่องจากความยากลำบากในการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้าง เป็นต้น และแม้ว่ากิจกรรมในภาคงานก่อสร้างจะสามารถกลับมาดำเนินการได้หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองแล้ว ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวที่ยังคงยืดเยื้อในตลาดหลักของบริษัทต่อไป ในขณะที่สภาวะที่ตกต่ำของธุรกิจน้ำมันนั้นก็คาดว่าจะส่งผลกดดันเป็นอย่างมากต่อแผนการลงทุนของธุรกิจในภาคโรงกลั่นและปิโตรเคมี ในขณะเดียวกัน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าก็มีความพยายามที่จะลดขนาดการลงทุนใหม่ ๆ ลงเช่นกันในภาวะที่ปริมาณไฟฟ้าสำรองของประเทศอยู่ในระดับสูงและอุปสงค์ด้านไฟฟ้าที่ลดลงจากผลของการแพร่ระบาด ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่จะยังคงชะลอตัวอีกนาน ทริสเรทติ้งจึงมองว่าการฟื้นตัวของธุรกิจหลักภายในประเทศของบริษัทยังคงมีความไม่แน่นอน

บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่จำนวน 6.8 พันล้านบาทซึ่งต่ำกว่าที่

ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน บริษัทได้รับงานใหม่ที่มีมูลค่าประมาณ 2.5 พันล้านบาทในปี 2563 ซึ่งมูลค่างานในมือดังกล่าวนี้จะช่วยรักษาระดับรายได้ในอนาคตให้แก่บริษัทได้เพียงปีเดียวเท่านั้น

กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า

การลงทุนของบริษัทในธุรกิจผลิตไฟฟ้าช่วยบรรเทาความอ่อนไหวต่อความผันผวนในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของบริษัทที่มีลักษณะเป็นวงจรขึ้นลงได้ในระดับหนึ่ง ปัจจุบันบริษัทยังคงถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 40% ในโครงการ Ahlone อยู่ เนื่องจากบริษัทยังมีภาระผูกพันอยู่ในโครงการดังกล่าว ดังนั้น ในการประเมินสถานะทางการเงินของบริษัท ทริสเรทติ้งจึงต้องรวมภาระหนี้และกระแสเงินสดของ Toyo Thai Power Myanmar Co., Ltd. (TTPMC) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินโครงการตามสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้นมาประกอบการพิจารณาด้วย ถึงแม้ว่าสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในโครงการดังกล่าวจะลดลง แต่ทริสเรทติ้งก็ยังคาดว่าโครงการ Ahlone จะสามารถสร้างผลกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้แก่บริษัทที่ประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี

บริษัทยังมีแผนจะลงทุนก่อสร้างส่วนขยายของโครงการ Ahlone เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีกจำนวน 380 เมกะวัตต์อีกด้วย โครงการดังกล่าวจะต้องใช้เงินลงทุนอีกราว 2 หมื่นล้านบาทซึ่งสูงเกินกว่าที่บริษัทจะสามารถลงทุนเองได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเป็นไปได้ของโครงการนี้จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้เนื่องจากกฎระเบียบที่เข้มงวดของรัฐบาลเมียนมา ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงไม่ได้นำโครงการนี้เข้ามาประกอบการพิจารณาในประมาณการในครั้งนี้

ความพยายามในการฟื้นฟูธุรกิจยังต้องเผชิญกับความยากลำบาก

ความพยายามในการฟื้นฟูสถานะทางการเงินของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งนั้นน่าจะยังคงได้รับแรงกดดันจากภาระการทยอยตั้งสำรองจำนวน 830 ล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2563-2565 ต่อไป ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 นั้น รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท ลดลง 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในช่วงปี 2562 จนถึงครึ่งแรกของปี 2563 อยู่ที่ระดับ 10%-13% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 5%-6% ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับงานรับเหมาก่อสร้างใหม่ที่มีมูลค่า 2.5 พันล้านบาทในปี 2563 กับอีก 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2565 โดยบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ระดับประมาณ 7-8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565 และคาดว่าบริษัทจะสามารถลดต้นทุนลงได้ในช่วงที่รายได้ของบริษัทลดลง ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะรักษาระดับอยู่ที่ประมาณ 4%-6% และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะลดลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 250-450 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 120-250 ล้านบาทต่อปี

ภาระหนี้มีแนวโน้มลดลง

ภาระหนี้ของบริษัทลดลงอย่างมากมาตั้งแต่ปี 2561 เนื่องจากรายงานงบการเงินของบริษัทไม่ได้สะท้อนภาระหนี้ทั้งหมด ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงได้รวมภาระหนี้ของโครงการ Ahlone ตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทมาประกอบการประเมินอันดับเครดิตด้วยเพื่อสะท้อนภาระหนี้ของบริษัททั้งหมด โดย ณ เดือนมิถุนายน 2563 ภาระหนี้สุทธิที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 54%

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 40% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะค่อย ๆ สูงขึ้นจนมาอยู่ที่ระดับ 10%-15% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายน่าจะอยู่ในช่วง 2-4 เท่า โดยประมาณการของทริสเรทติ้งไม่ได้รวมโครงการส่วนขยายของโครงการ Ahlone หรือธุรกิจใหม่อื่น ๆ เข้าไว้ด้วย

สภาพคล่องที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะมีเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 2.6 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 1.3 พันล้านบาทและหุ้นกู้จำนวน 1.1 พันล้านบาท ในขณะที่แหล่งสภาพคล่องของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 2.4 พันล้านบาท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาทและคาดว่าบริษัทจะทำการต่ออายุเงินกู้ยืมระยะสั้นออกไปและออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมเพื่อที่จะรักษาสภาพคล่องเอาไว้

ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ต่อไปได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยเงื่อนไขทางการเงินที่สำคัญของหุ้นกู้กำหนดให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกิน 3 เท่า ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.4 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2563-2565 มีดังต่อไปนี้

? บริษัทจะได้รับงานรับเหมาก่อสร้างใหม่มูลค่า 2.5 พันล้านบาทในปี 2563 กับอีก 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2565

? อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะอยู่ที่ระดับ 9%-10%

? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในช่วง 4%-6%

? ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนจะอยู่ที่ 70-80 ล้านบาทต่อปี

? สมมติฐานนี้ไม่รวมส่วนขยายของโครงการ Ahlone

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทน่าจะได้รับงานใหม่ที่มีมูลค่าสูงเพื่อเพิ่มมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทให้สูงขึ้น อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4%-6% อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ในระดับที่เกินกว่า 10% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะเวลาอันใกล้มีค่อนข้างจำกัด แต่จะเกิดขึ้นได้หากความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในขณะที่บริษัทสามารถรักษาสถานะหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทไม่สามารถได้รับงานใหม่ที่มากเพียงพอจะรักษาระดับกระแสเงินสดเอาไว้ได้ หรือผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังอาจได้รับการปรับลดลงหากโครงสร้างทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงจากการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญเพิ่มขึ้น และ/หรือภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) (TTCL)

อันดับเครดิตองค์กร: BB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2563 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ