ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “กฟภ.” ที่ “AAA” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 15, 2021 10:25 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่ระดับ ?AAA? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของ กฟภ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสำคัญที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทยในระดับสูงและมีบทบาทที่สำคัญ ในการจัดส่งและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนผ่านโครงสร้างค่าไฟฟ้า นโยบายทางการเงินที่รอบคอบของ กฟภ. รวมถึงการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากรัฐบาลไทยอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลในระดับสูง

ทริสเรทติ้งประเมินว่า กฟภ. มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทยในระดับสูง โดย กฟภ. มีรัฐบาลถือหุ้น 100% โดยผ่านกระทรวงการคลังและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย ส่วนคณะกรรมการของ กฟภ. และผู้ว่าการฯ นั้นได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐมนตรี ในขณะที่แผนยุทธศาสตร์ของ กฟภ. นั้นมีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาทบทวน ส่วนแผนค่าใช้จ่ายและการลงทุนของ กฟภ. นั้นจะขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ กฟภ. ยังต้องเสนอแผนการกู้เงินและการชำระคืนเงินกู้ให้แก่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสังกัดกระทรวงการคลังเพื่อการพิจารณาเห็นชอบอีกด้วย

กฟภ. ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ภายใต้พระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 (พ.ร.บ. กฟภ.) นั้นระบุว่ารัฐบาลไทยจะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษแก่ กฟภ. ในกรณีที่รายได้ของ กฟภ. ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายซึ่งรวมถึงรายจ่ายดอกเบี้ยและการชำระคืนเงินกู้ด้วย

มีบทบาทที่สำคัญในการจัดส่งและจำหน่ายไฟฟ้าทั่วประเทศ

ทริสเรทติ้งมองว่า กฟภ. จะยังคงมีบทบาทที่สำคัญในการช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้ไฟฟ้ารวมถึงตอบสนองความต้องการในการใช้ไฟฟ้าของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ กฟภ. เป็นรัฐวิสาหกิจ 1 ใน 2 รายที่รับผิดชอบในการจัดส่งและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตภูมิภาคซึ่งครอบคลุม 74 จังหวัดทั่วประเทศ ในขณะที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี

ภายใต้ พ.ร.บ. กฟภ. พ.ศ. 2503 กฟภ. มีอำนาจในการติดตั้งสายส่งไฟฟ้าและสายจำหน่ายไฟฟ้าเหนือหรือใต้พื้นที่ใด ๆ ได้โดยจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้พื้นที่ดังกล่าวให้แก่เจ้าของพื้นที่นั้น ๆ ทั้งนี้ พ.ร.บ. กฟภ. แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของ กฟภ. ในการจำหน่ายไฟฟ้าในเขตพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ

ภายใต้ ?โครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบผู้ซื้อรายเดียว? (Enhanced Single Buyer Model -- ESB) ที่ใช้ในประเทศไทยนั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นรัฐวิสาหกิจหลักที่รับผิดชอบในการจัดหาไฟฟ้าสำหรับทั้งประเทศโดยนำมาจำหน่ายส่งให้แก่ กฟภ. และ กฟน. เพื่อจำหน่ายปลีกให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจต่อไป โดยที่ กฟภ. นั้นซื้อไฟฟ้าส่วนใหญ่จาก กฟผ. และจำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในเขตพื้นที่ 74 จังหวัดทั่วประเทศ

มาตรการช่วยเหลือประชาชนจากโรคโควิด 19 ส่งผลให้ขาดทุน แต่คาดว่าจะฟื้นตัว

ในปี 2563 กฟภ. มีบทบาทอย่างมากในการสนับสนุนรัฐบาลดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ในระหว่างเดือนมีนาคมจนถึงเดือนมิถุนายน โดยมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย การคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า มาตรการไฟฟ้าฟรี การลดค่าไฟฟ้า และการขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้า โดยในช่วงเดือนมีนาคม-พฤศจิกายน 2563 มีผู้ใช้ไฟฟ้าขอเรียกคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวม 8.64 พันล้านบาท ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและสภาพคล่องของ กฟภ. แต่อย่างใด เนื่องจาก กฟภ. ได้สำรองเงินไว้ในบัญชีเงินประกันการใช้ไฟฟ้าไว้อยู่แล้ว ซึ่ง กฟภ. ได้นำเงินส่วนที่สำรองไว้นี้มาใช้ในการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ณ เดือนธันวาคม 2562 กฟภ. มีบัญชีเงินประกันการใช้ไฟฟ้าอยู่จำนวน 3.1 หมื่นล้านบาท ในส่วนของเงินช่วยเหลือสำหรับมาตรการไฟฟ้าฟรีและการลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้านั้นคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้ กฟภ. มีผลดำเนินงานขาดทุน 1.03 หมื่นล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563

ทริสเรทติ้งคาดว่าผลขาดทุนของ กฟภ. ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 อนึ่ง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติให้นำ ?เงินลงทุนที่ต่ำกว่าแผน? (Claw Back) ซึ่งเป็นเงินที่ กกพ. เรียกคืนกลับมาจากรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง เพื่อมาใช้บรรเทาผลกระทบแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าตามนโนบายของภาครัฐ และสนับสนุนการดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนของ กฟภ. ประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่า กฟภ. จะกลับมามีผลกำไรสุทธิที่ประมาณ 5-7 พันล้านบาทสำหรับผลการดำเนินงานทั้งปีในปี 2563

การจำหน่ายไฟฟ้ามีกำไรที่คาดการณ์ได้

กฟภ. มีความเสี่ยงที่จำกัดจากความผันผวนของต้นทุนการซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ทั้งนี้ ภายใต้โครงสร้างค่าไฟฟ้าในปัจจุบันนั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของต้นทุนการซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะส่งผ่านไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าภายใต้ค่าปรับปรุงเชื้อเพลิงหรือค่า Ft (Fuel Adjustment Charge) โดย กกพ. เป็นผู้กำหนดและจะประกาศค่า Ft ทุก ๆ 4 เดือน ซึ่งในช่วงปี 2556-2562 กฟภ. มีกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อไฟฟ้าและราคาขายไฟฟ้าอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 0.55-0.59 บาทต่อหน่วย

ผู้ใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มผลิตไฟฟ้าใช้เองมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีช่วยให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถผันตัวไปเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง (Prosumer) การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตนั้นอาจทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เองและผู้ผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ต่าง ๆ สามารถซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันได้ แนวโน้มดังกล่าวอาจจะกระทบต่อการจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟภ. ได้ในระยะยาวเนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เองจะลดการใช้ไฟฟ้าที่มาจากระบบใหญ่ อย่างไรก็ตาม กฟภ. อาจจะมีรายได้จากค่าผ่านสายไฟฟ้า (Wheeling Charge) จากการที่ผู้ซื้อขายไฟฟ้าใช้สายส่งของ กฟภ. นอกจากนี้ กฟภ. ก็ยังอาจมีรายได้จากค่าสำรองพลังงานไฟฟ้าเนื่องจากผู้ซื้อขายไฟฟ้าเอกชนดังกล่าวอาจต้องการสำรองไฟฟ้าจากระบบใหญ่เพื่อรองรับในช่วงที่ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้

อยู่ในช่วงการพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่

เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านพลังงานที่เข้าสู่ระบบไฟฟ้าขนาดเล็กแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Power Generation) กฟภ. อยู่ในช่วงการเตรียมความพร้อมที่จะขยายขอบเขตธุรกิจที่นอกเหนือไปจากธุรกิจหลักคือการซื้อและจำหน่ายไฟฟ้า โดยธุรกิจใหม่ ๆ ของ กฟภ. ได้แก่ การผลิตไฟฟ้า การให้บริการซ่อมบำรุงแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า และการเปลี่ยนสถานะไปเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงานแบบครบวงจร ทั้งนี้ กฟภ. มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ให้บริการสาธารณูปโภคดิจิทัล (Digitalized Utility Provider) ภายในปี 2565 ซึ่งจะช่วยให้ กฟภ. นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการแก้ปัญหาได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินการโครงข่ายไฟฟ้าเมืองอัจฉริยะ (Smart City Grid) ในอนาคตอันใกล้ด้วย ปัจจุบัน กฟภ. อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโครงข่ายเมืองอัจฉริยะที่เมืองพัทยาให้เป็นโครงการนำร่อง โดย กฟภ. จะนำผลจากการพัฒนาโครงการนำร่องดังกล่าวมาวิเคราะห์และปรับปรุงเพื่อใช้กับเมืองใหญ่อื่น ๆ ในอนาคตต่อไป

มีนโยบายการเงินที่รอบคอบ

กฟภ. มีนโยบายการเงินที่รัดกุมรอบคอบโดยมีนโยบายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 1.5 เท่า รวมถึงอัตราส่วนการลงทุนจากเงินรายได้ (Self-financial Raito) ไม่ให้ต่ำกว่า 25% และอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ไม่ให้น้อยกว่า 1.5 เท่า นอกจากนี้ กฟภ. ยังมีนโยบายภายในในการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระคืนหนี้เงินกู้ล่วงหน้า 3 ปีก่อนที่จะครบกำหนดอีกด้วย

มีสถานะทางการเงินที่แข็งแรง

กฟภ. มีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแรง โดย ณ เดือนมิถุนายน 2563 กฟภ. มีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจำนวน 9.5 หมื่นล้านบาทและมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่เข้มแข็งที่ระดับ 37.36%

นอกจากนี้ กฟภ. ยังมีสภาพคล่องที่ดีอีกด้วย โดย ณ เดือนมิถุนายน 2563 กฟภ. มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.5-4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565 ในส่วนของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเมื่อรวมกับประมาณการเงินทุนจากการดำเนินงานของ กฟภ. แล้วนั้นก็มีเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้เงินกู้ที่จะครบกำหนดจำนวน 5-8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565 ด้วยเช่นกัน

เงินลงทุนได้รับการชดเชยผ่านโครงสร้างค่าไฟฟ้า

การกำหนดค่าไฟฟ้าในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กกพ. เพื่อให้การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าสามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของประเทศได้อย่างมั่นคง กกพ. จึงได้มีการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าโดยให้ครอบคลุมทั้งเงินลงทุนสำหรับการผลิตไฟฟ้าและการจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับทั้งประเทศ รวมทั้งให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพียงพอสำหรับรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ กฟผ. กฟภ. และ กฟน.

ทั้งนี้ คาดว่า กฟภ. จะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาทในช่วงปี 2563-2566 โดยส่วนใหญ่จะใช้ไปในการลงทุนขยายระบบจำหน่ายเพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้า รวมถึงเพื่อปรับปรุงความมั่นคงน่าเชื่อถือของระบบ และเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่สู่การเตรียมความพร้อมในการเริ่มต้นโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? การจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟภ. จะลดลง 2.5%-3.0% ในปี 2563 และคาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ยปีละ 1.7%-2.2% ในช่วงปี 2564-2566

? กฟภ. จะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.1-4.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566

? กฟภ. จะมีเงินลงทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาทในระหว่างปี 2563-2566

? อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุน คาดว่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 40%-45% ตลอดช่วงประมาณการ

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า กฟภ. จะยังคงดำรงบทบาทที่มีความสำคัญในการจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับพื้นที่ในต่างจังหวัดของประเทศ และความสัมพันธ์ที่ กฟภ. มีกับรัฐบาลในระดับสูงจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาประมาณการ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลง หากบทบาทของ กฟภ. ในการเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีความสำคัญด้านพลังงานและความสัมพันธ์กับรัฐบาลนั้นเปลี่ยนแปลงไป

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ, 30 กรกฎาคม 2563

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) (PEA)

อันดับเครดิตองค์กร: AAA

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ