ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ 3” ที่ “A-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 21, 2021 15:40 —ทริส เรตติ้ง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ.

บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 90 เมกะวัตต์กับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปีภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ซึ่งเงื่อนไขมาตรฐานในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กระบุว่า กฟผ. ตกลงจะรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำจำนวน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาซึ่งคำนวณจากจำนวนชั่วโมงที่สามารถดำเนินงานได้ โดยสัญญามีลักษณะแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take-or-pay Basis) จึงทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดรับที่มั่นคง นอกจากนี้ สูตรคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุในสัญญายังมีกลไกลดความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอีกด้วย

นอกจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. แล้ว บริษัทยังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำระยะยาวกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี อีกด้วย โดยเป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าขนาด 46 เมกะวัตต์และสัญญาซื้อขายไอน้ำจำนวน 13 ตันต่อชั่วโมงซึ่งมีเงื่อนไขระบุปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าและ/หรือไอน้ำขั้นต่ำที่ลูกค้าแต่ละรายมีข้อผูกมัดอยู่

อัตราค่าไฟฟ้าที่บริษัทเรียกเก็บจากลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมนั้นอ้างอิงจากอัตราค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำหน่ายให้กับลูกค้าประเภทกิจการขนาดใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าปรับปรุงเชื้อเพลิง หรือค่า Ft (Fuel Adjustment Charge) อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นจะมีช่วงเวลาล่าช้า อีกทั้งจำนวนที่ปรับและระยะเวลาก็ยังขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบอีกด้วย

เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วช่วยลดความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วจาก Siemens ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าชั้นนำของโลก ทั้งนี้ กังหันก๊าซ Siemens SGT 800 มีผลงานที่ได้รับการยอมรับด้วยยอดจำหน่ายมากกว่า 100 ชุดมาตั้งแต่ปี 2540 โรงไฟฟ้าของบริษัทประกอบด้วยหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซพร้อมทางปล่อยระบาย (Bypass Stack) จำนวน 2 ชุด ชุดกำเนิดไอน้ำ (Heat Recovery Steam Generator -- HRSG) จำนวน 2 ชุด และหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันไอน้ำจำนวน 1 ชุด ซึ่งทั้งกังหันก๊าซและกังหันไอน้ำดังกล่าวผลิตโดย Siemens การใช้กังหันก๊าซซึ่งมีทางปล่อยระบายช่วยให้โรงไฟฟ้าของบริษัทมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถเดินเครื่องกังหันก๊าซได้อย่างอิสระแม้จะอยู่ในช่วงของการซ่อมบำรุงกังหันไอน้ำหรือช่วงบริหารจัดการโรงไฟฟ้า

ในเดือนกันยายน 2561 บริษัทได้ต่อสัญญาซ่อมบำรุงกังหันก๊าซระยะยาวกับ Siemens ออกไปอีก 16 ปีจนถึงปี 2577 โดยเป็นการต่อสัญญาภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Siemens และ BGRIM ทั้งนี้ สัญญาที่ต่อออกไปจะครอบคลุมถึงการซ่อมบำรุงใหญ่ของโรงไฟฟ้าอีก 2 รอบและจะช่วยให้โรงไฟฟ้ามีดัชนีความพร้อมสูงขึ้นและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

ตามเงื่อนไขของสัญญา Siemens จะให้บริการซ่อมบำรุงทั้งในด้านของชิ้นส่วนอะไหล่และการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซให้ดียิ่งขึ้น การมีสัญญาดังกล่าวช่วยให้บริษัทมั่นใจได้ว่ากังหันก๊าซจะมีความพร้อมในการดำเนินงานและบริษัทจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้

ความสามารถในการบริหารโรงไฟฟ้าที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว

บริษัทมีทีมงานของตนเองในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงประจำวันที่ได้รับการฝึกอบรมจาก BGRIM ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานและการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ตั้งแต่เริ่มดำเนินงานในปี 2555 โรงไฟฟ้าของบริษัทก็มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ามาโดยตลอด

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 โรงไฟฟ้าของบริษัทมีดัชนีความพร้อมอยู่ที่ 97.4% และมีอัตราความร้อนที่ขนาด 7,508 บีทียูต่อหน่วยซึ่งดีกว่าอัตราความร้อนอ้างอิงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ที่ขนาด 8,000 บีทียูต่อหน่วย ในด้านของประสิทธิภาพการใช้พลังงานนั้น โรงไฟฟ้าของบริษัทบรรลุดัชนีชี้วัดความสามารถในการใช้พลังงานปฐมภูมิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วมกัน (Primary Energy Saving -- PES) ซึ่งทำให้ได้รับค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมจากค่าการประหยัดการใช้เชื้อเพลิง (Fuel Saving -- FS) ที่อัตรา 0.36 บาทต่อหน่วยจาก กฟผ.

ยอดขายส่วนใหญ่มาจาก กฟผ.

บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วน 60%-70% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายทั้งหมดต่อปี ในช่วงปี 2560-2562 บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ปีละประมาณ 612-635 ล้านหน่วย จำหน่ายให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมปีละ 221-248 ล้านหน่วย และจำหน่ายให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง (โรงไฟฟ้าอื่นในกลุ่ม บี. กริม ที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ อมตะซิตี้ ชลบุรี) อีกปีละ 77-93 ล้านหน่วยเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า บริษัทมีรายได้และกำไรที่มั่นคงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในช่วงปี 2560-2562 บริษัทมีรายได้อยู่ในระดับ 2.8-3.1 พันล้านบาทต่อปีและมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ในระดับ 721-814 ล้านบาทต่อปี โดยในช่วงดังกล่าว รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็น 65% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมคิดเป็น 25% และรายได้จากการจำหน่ายไอน้ำให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมคิดเป็น 3%

โรคโควิด 19 ส่งผลกระทบน้อย

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. จำนวนประมาณ 482 ล้านหน่วย ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 156 ล้านหน่วย และบริษัทที่เกี่ยวข้องอีกจำนวน 39 ล้านหน่วย จำนวนไฟฟ้าที่จำหน่ายลดลง 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านั้นมีสาเหตุหลักมาจากจำนวนไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมลดลง 40% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จากผลกระทบของโรคโควิด 19 อย่างไรก็ตาม รายได้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ทำให้รายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 8.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าโดยอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 6.1% มาอยู่ที่ 592 ล้านบาทเนื่องจากราคาก๊าซที่ลดลงและค่า Ft ที่คงที่

ความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับดี

ในเดือนเมษายน 2560 บริษัทได้กู้เงินจำนวน 3.7 พันล้านบาทจาก บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ เอสพีวี1 จำกัด (ABPSPV) ในลักษณะของเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทเพื่อนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้โครงการที่มีกับธนาคารทั้งหมด ทั้งนี้ กำหนดการชำระคืนเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทนั้นสอดคล้องกับกำหนดการชำระคืนหุ้นกู้ที่ออกโดย ABPSPV ภาระในการชำระคืนหนี้เงินกู้ของบริษัทในแต่ละปีมีจำนวนที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญโดยยอดชำระมีจำนวนตั้งแต่ 14 ล้านบาทไปจนถึง 705 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2575 ซึ่งบริษัทไม่มีภาระในการชำระคืนเงินต้นในปี 2561 รวมถึงในปี 2562 ในปี 2568 และในปี 2574 ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายชำระคืนเงินต้นงวดแรกแล้วในเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถบริหารสภาพคล่องและสำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับการชำระคืนเงินกู้ที่มีจำนวนสูงในบางปีได้

ณ เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีเงินสดคงเหลือจำนวน 785 ล้านบาท ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 680-787 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2567 ทั้งนี้ บริษัทมีเงินสดในมือรวมกับประมาณการกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงกว่าภาระหนี้เงินกู้ซึ่งอยู่ที่จำนวน 316-589 ล้านบาทในช่วงปี 2564-2567

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? ในระหว่างปี 2563-2567 โรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีดัชนีค่าความพร้อมอยู่ในช่วง 92%-98%

? สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จะอยู่ที่ 90 เมกะวัตต์ และกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 46 เมกะวัตต์ รวมทั้งจะมีสัญญาซื้อขายไอน้ำกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 13 ตัน/ชั่วโมง

? ในระหว่างปี 2563-2567 บริษัทจะมีรายได้ที่ระดับ 2.5-2.8 พันล้านบาทต่อปีและจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 680-787 ล้านบาทต่อปี โดยจะมีเงินสดในมืออยู่ที่ประมาณ 0.6-1 พันล้านบาทต่อปี

? ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ปีละ 4-39 ล้านบาท

? ภาระในการชำระคืนเงินต้นเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทดำเนินการตามตารางการชำระคืนเงินกู้ที่กำหนดไว้

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำเนินงานโรงไฟฟ้าได้อย่างราบรื่นและสามารถสร้างผลกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่แน่นอนได้ประมาณ 680-787 ล้านบาทต่อปี

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทยังมีโอกาสค่อนข้างจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ส่วนการปรับลดอันดับเครดิตนั้นอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัท

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558

บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 3 จำกัด (ABP3)

อันดับเครดิตองค์กร: A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ 3 จำกัด (ABP3) ที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ของบริษัทจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงเทคโนโลยีซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วที่ใช้ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Cogeneration) ของบริษัท รวมถึงความสามารถในการบริหารโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ.

บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 90 เมกะวัตต์กับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปีภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ซึ่งเงื่อนไขมาตรฐานในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กระบุว่า กฟผ. ตกลงจะรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำจำนวน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาซึ่งคำนวณจากจำนวนชั่วโมงที่สามารถดำเนินงานได้ โดยสัญญามีลักษณะแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take-or-pay Basis) จึงทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดรับที่มั่นคง นอกจากนี้ สูตรคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุในสัญญายังมีกลไกลดความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอีกด้วย

นอกจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. แล้ว บริษัทยังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำระยะยาวกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี อีกด้วย โดยเป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าขนาด 46 เมกะวัตต์และสัญญาซื้อขายไอน้ำจำนวน 13 ตันต่อชั่วโมงซึ่งมีเงื่อนไขระบุปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าและ/หรือไอน้ำขั้นต่ำที่ลูกค้าแต่ละรายมีข้อผูกมัดอยู่

อัตราค่าไฟฟ้าที่บริษัทเรียกเก็บจากลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมนั้นอ้างอิงจากอัตราค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำหน่ายให้กับลูกค้าประเภทกิจการขนาดใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าปรับปรุงเชื้อเพลิง หรือค่า Ft (Fuel Adjustment Charge) อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นจะมีช่วงเวลาล่าช้า อีกทั้งจำนวนที่ปรับและระยะเวลาก็ยังขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบอีกด้วย

เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วช่วยลดความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วจาก Siemens ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าชั้นนำของโลก ทั้งนี้ กังหันก๊าซ Siemens SGT 800 มีผลงานที่ได้รับการยอมรับด้วยยอดจำหน่ายมากกว่า 100 ชุดมาตั้งแต่ปี 2540 โรงไฟฟ้าของบริษัทประกอบด้วยหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซพร้อมทางปล่อยระบาย (Bypass Stack) จำนวน 2 ชุด ชุดกำเนิดไอน้ำ (Heat Recovery Steam Generator -- HRSG) จำนวน 2 ชุด และหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันไอน้ำจำนวน 1 ชุด ซึ่งทั้งกังหันก๊าซและกังหันไอน้ำดังกล่าวผลิตโดย Siemens การใช้กังหันก๊าซซึ่งมีทางปล่อยระบายช่วยให้โรงไฟฟ้าของบริษัทมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถเดินเครื่องกังหันก๊าซได้อย่างอิสระแม้จะอยู่ในช่วงของการซ่อมบำรุงกังหันไอน้ำหรือช่วงบริหารจัดการโรงไฟฟ้า

ในเดือนกันยายน 2561 บริษัทได้ต่อสัญญาซ่อมบำรุงกังหันก๊าซระยะยาวกับ Siemens ออกไปอีก 16 ปีจนถึงปี 2577 โดยเป็นการต่อสัญญาภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Siemens และ BGRIM ทั้งนี้ สัญญาที่ต่อออกไปจะครอบคลุมถึงการซ่อมบำรุงใหญ่ของโรงไฟฟ้าอีก 2 รอบและจะช่วยให้โรงไฟฟ้ามีดัชนีความพร้อมสูงขึ้นและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

ตามเงื่อนไขของสัญญา Siemens จะให้บริการซ่อมบำรุงทั้งในด้านของชิ้นส่วนอะไหล่และการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซให้ดียิ่งขึ้น การมีสัญญาดังกล่าวช่วยให้บริษัทมั่นใจได้ว่ากังหันก๊าซจะมีความพร้อมในการดำเนินงานและบริษัทจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้

ความสามารถในการบริหารโรงไฟฟ้าที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว

บริษัทมีทีมงานของตนเองในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงประจำวันที่ได้รับการฝึกอบรมจาก BGRIM ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานและการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ตั้งแต่เริ่มดำเนินงานในปี 2555 โรงไฟฟ้าของบริษัทก็มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ามาโดยตลอด

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 โรงไฟฟ้าของบริษัทมีดัชนีความพร้อมอยู่ที่ 97.4% และมีอัตราความร้อนที่ขนาด 7,508 บีทียูต่อหน่วยซึ่งดีกว่าอัตราความร้อนอ้างอิงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ที่ขนาด 8,000 บีทียูต่อหน่วย ในด้านของประสิทธิภาพการใช้พลังงานนั้น โรงไฟฟ้าของบริษัทบรรลุดัชนีชี้วัดความสามารถในการใช้พลังงานปฐมภูมิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วมกัน (Primary Energy Saving -- PES) ซึ่งทำให้ได้รับค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมจากค่าการประหยัดการใช้เชื้อเพลิง (Fuel Saving -- FS) ที่อัตรา 0.36 บาทต่อหน่วยจาก กฟผ.

ยอดขายส่วนใหญ่มาจาก กฟผ.

บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วน 60%-70% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายทั้งหมดต่อปี ในช่วงปี 2560-2562 บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ปีละประมาณ 612-635 ล้านหน่วย จำหน่ายให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมปีละ 221-248 ล้านหน่วย และจำหน่ายให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง (โรงไฟฟ้าอื่นในกลุ่ม บี. กริม ที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ อมตะซิตี้ ชลบุรี) อีกปีละ 77-93 ล้านหน่วยเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า บริษัทมีรายได้และกำไรที่มั่นคงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในช่วงปี 2560-2562 บริษัทมีรายได้อยู่ในระดับ 2.8-3.1 พันล้านบาทต่อปีและมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ในระดับ 721-814 ล้านบาทต่อปี โดยในช่วงดังกล่าว รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็น 65% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมคิดเป็น 25% และรายได้จากการจำหน่ายไอน้ำให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมคิดเป็น 3%

โรคโควิด 19 ส่งผลกระทบน้อย

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. จำนวนประมาณ 482 ล้านหน่วย ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 156 ล้านหน่วย และบริษัทที่เกี่ยวข้องอีกจำนวน 39 ล้านหน่วย จำนวนไฟฟ้าที่จำหน่ายลดลง 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านั้นมีสาเหตุหลักมาจากจำนวนไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมลดลง 40% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จากผลกระทบของโรคโควิด 19 อย่างไรก็ตาม รายได้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ทำให้รายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 8.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าโดยอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 6.1% มาอยู่ที่ 592 ล้านบาทเนื่องจากราคาก๊าซที่ลดลงและค่า Ft ที่คงที่

ความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับดี

ในเดือนเมษายน 2560 บริษัทได้กู้เงินจำนวน 3.7 พันล้านบาทจาก บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ เอสพีวี1 จำกัด (ABPSPV) ในลักษณะของเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทเพื่อนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้โครงการที่มีกับธนาคารทั้งหมด ทั้งนี้ กำหนดการชำระคืนเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทนั้นสอดคล้องกับกำหนดการชำระคืนหุ้นกู้ที่ออกโดย ABPSPV ภาระในการชำระคืนหนี้เงินกู้ของบริษัทในแต่ละปีมีจำนวนที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญโดยยอดชำระมีจำนวนตั้งแต่ 14 ล้านบาทไปจนถึง 705 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2575 ซึ่งบริษัทไม่มีภาระในการชำระคืนเงินต้นในปี 2561 รวมถึงในปี 2562 ในปี 2568 และในปี 2574 ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายชำระคืนเงินต้นงวดแรกแล้วในเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถบริหารสภาพคล่องและสำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับการชำระคืนเงินกู้ที่มีจำนวนสูงในบางปีได้

ณ เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีเงินสดคงเหลือจำนวน 785 ล้านบาท ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 680-787 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2567 ทั้งนี้ บริษัทมีเงินสดในมือรวมกับประมาณการกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงกว่าภาระหนี้เงินกู้ซึ่งอยู่ที่จำนวน 316-589 ล้านบาทในช่วงปี 2564-2567

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? ในระหว่างปี 2563-2567 โรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีดัชนีค่าความพร้อมอยู่ในช่วง 92%-98%

? สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จะอยู่ที่ 90 เมกะวัตต์ และกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 46 เมกะวัตต์ รวมทั้งจะมีสัญญาซื้อขายไอน้ำกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 13 ตัน/ชั่วโมง

? ในระหว่างปี 2563-2567 บริษัทจะมีรายได้ที่ระดับ 2.5-2.8 พันล้านบาทต่อปีและจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 680-787 ล้านบาทต่อปี โดยจะมีเงินสดในมืออยู่ที่ประมาณ 0.6-1 พันล้านบาทต่อปี

? ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ปีละ 4-39 ล้านบาท

? ภาระในการชำระคืนเงินต้นเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทดำเนินการตามตารางการชำระคืนเงินกู้ที่กำหนดไว้

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำเนินงานโรงไฟฟ้าได้อย่างราบรื่นและสามารถสร้างผลกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่แน่นอนได้ประมาณ 680-787 ล้านบาทต่อปี

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทยังมีโอกาสค่อนข้างจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ส่วนการปรับลดอันดับเครดิตนั้นอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัท

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558

บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 3 จำกัด (ABP3)

อันดับเครดิตองค์กร: A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ