ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บ. ผาแดงอินดัสทรี” เป็น “BB” จาก “BBB-” และคงแนวโน้ม “Negative”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 8, 2021 09:33 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด มหาชน เป็นระดับ ?BB? จากเดิมที่ระดับ ?BBB-? ในขณะที่ยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative? หรือ ?ลบ" เช่นเดิม โดยการลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าสถานะความเสี่ยงด้านธุรกิจของบริษัทจะอ่อนแอลงและภาระหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจากแผนการซื้อกิจการโรงแรมระดับบนที่เพิ่งเปิดดำเนินงานจำนวน 2 แห่ง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้ที่แน่นอนมาสู่อุตสาหกรรมด้านการให้บริการโดยมุ่งเน้นที่ธุรกิจโรงแรม การเข้าสู่ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวในขณะที่แนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมด้านการให้บริการที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนสูงนั้นถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และส่งผลทำให้สถานะความเสี่ยงด้านธุรกิจของบริษัทด้อยลงอย่างมาก

ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีของโรงแรมระดับโลกทั้ง 2 แห่งที่บริษัทจะซื้อกิจการรวมถึงสภาพคล่องที่เพียงพอจะรับมือกับสภาวะตลาดที่ตกต่ำในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าได้ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวมีปัจจัยลดทอนจากแนวโน้มของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยที่ยังคงน่าเป็นห่วง ตลอดจนการที่สินทรัพย์ที่เป็นแหล่งรายได้ของบริษัทมีการกระจุกตัวในระดับสูง และความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้สินที่อ่อนแอมากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบสุดโต่ง

ทริสเรทติ้งมองว่าการซื้อกิจการโรงแรมจะส่งผลให้ธุรกิจหลักของบริษัทเปลี่ยนไปจากธุรกิจผลิตไฟฟ้ามาเป็นธุรกิจโรงแรม ตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทเมื่อเร็ว ๆ นี้ระบุว่าบริษัทจะเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 51% ในบริษัทโฮลดิ้ง 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท เออร์เบิร์น รีสอร์ท โอเต็ล จำกัด และ บริษัท วอเตอร์ฟร้อนท์ โฮเต็ล จำกัด ซึ่งจะเป็นเจ้าของและดำเนินกิจการโครงการโรงแรม 2 แห่งคือ ?Four Seasons Hotel Bangkok at Chao Phraya? (FSH) และ?Capella Bangkok? (CPH) ตามลำดับ ทั้ง FSH และ CPH เป็นโรงแรมหรูที่เพิ่งเปิดใหม่ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เงินลงทุนของโครงการนี้มีมูลค่ารวมประมาณ 1.05 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะได้รับเงินกู้ 3 ปีรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5 พันล้านบาทและจะจ่ายชำระค่าหุ้นในสัดส่วนที่จะซื้อกิจการที่ประมาณ 2.8 พันล้านบาท

ในขณะเดียวกัน บริษัทจะขายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดในประเทศไทยซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันประมาณ 36.3 เมกะวัตต์ออกไปและคาดว่าจะได้รับเงินรวมทั้งสิ้นจำนวน 1.7 พันล้านบาทซึ่งบริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับธุรกิจใหม่ ทั้งนี้ คาดว่าธุรกรรมซื้อโรงแรมและธุรกรรมขายการลงทุนดังกล่าวนี้จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2564

บริษัทมีทิศทางชัดเจนที่จะมุ่งสู่ธุรกิจโรงแรมโดยวางแผนจะขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เหลือในประเทศญี่ปุ่นและสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักออกไป อาทิ พื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดตากและระยองเพื่อที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจใหม่

สถานะความเสี่ยงด้านธุรกิจอ่อนแอลง

การลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเสี่ยงด้านธุรกิจของบริษัทที่อ่อนแอลงจากการที่บริษัทต้องเผชิญกับปัจจัยความเสี่ยงที่มากกว่าในธุรกิจโรงแรมเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนที่ค่อนข้างสูงของธุรกิจโรงแรมนั้นถือว่าต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ซึ่งมีรายได้ที่แน่นอนจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ถึงแม้ว่าสินทรัพย์ที่บริษัทซื้อมาใหม่จะสามารถสร้างรายได้ในทันทีและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว แต่แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมในประเทศไทยนั้นยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งจะส่งผลให้การคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทนั้นทำได้อย่างจำกัด

แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมยังมีความไม่แน่นอน

ธุรกิจโรงแรมเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด19 หนักมากที่สุด การระงับการเดินทางข้ามประเทศได้ส่งผลให้ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมทั่วโลกชะลอตัวลงอย่างรุนแรงและยืดเยื้อยาวนาน สำหรับตลาดในประเทศไทยนั้น จำนวนผู้เข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวันของโรงแรมระดับบนลดลงอย่างหนักสู่ระดับต่ำในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปอย่างยาวนานและผู้ประกอบการต้องปรับลดราคาห้องพักลงอย่างมากเพื่อที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวภายในประเทศ กล่าวโดยรวมแล้ว การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมนั้นยังคงไม่มีความชัดเจนอันเนื่องมาจากผลกระทบของโรคโควิด 19 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เป็นปัจจัยซ้ำเติมที่ทำให้ตลาดซึ่งเปราะบางอยู่แล้วกลับย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมและเพิ่มความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของธุรกิจด้วยเช่นกัน

ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจโรงแรมจะยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงในด้านลบต่อไปอีกในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยปัจจัยลบที่ยับยั้งการฟื้นตัวของตลาดประกอบด้วย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างเปราะบาง ผลกระทบที่ยาวนานของโรคโควิด19 การแข็งค่าของเงินบาท และภาวะตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง

คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าโรงแรมที่บริษัทลงทุนซื้อกิจการนั้นมีคุณภาพที่ดีโดยพิจารณาจากความใหม่ของสินทรัพย์ ตลอดจนการมีแบรนด์ที่มีชื่อเสียง และทำเลที่ตั้งที่ดี โรงแรมดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ 35 ไร่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและเพิ่งเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2563 โดยมีลูกค้าเป้าหมายในตลาดระดับบน โรงแรมทั้ง 2 แห่งมีห้องพักรวม 400 ห้องซึ่งห้องพักมีขนาดโดยเฉลี่ยที่ค่อนข้างใหญ่กว่าของคู่แข่งที่มีระดับใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ โรงแรมดังกล่าวยังดำเนินการโดยกลุ่ม ?Four Seasons? และ ?Capella? ซึ่งเป็นบริษัทบริหารโรงแรมชั้นนำของโลกอีกด้วย ด้วยคุณภาพของสินทรัพย์ดังกล่าว ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าบริษัทจะมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรที่มากกว่าการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันหากตลาดโรงแรมฟื้นคืนสู่สภาวะก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ได้

ความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินทรัพย์เพียงแห่งเดียว

ทริสเรทติ้งมองว่าทั้ง FSH และ CPH ถือเป็นสินทรัพย์เพียงแห่งเดียวในพอร์ตการลงทุนในธุรกิจโรงแรมของบริษัท ทั้งนี้ เนื่องจากโรงแรมทั้ง 2 แห่งเชื่อมต่อกันและตั้งอยู่ในทำเลแห่งเดียวกัน นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของขนาดและราคาห้องพัก แต่โรงแรมทั้ง 2 ยังมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าในตลาดเดียวกันซึ่งได้แก่แขกในประเทศที่มีฐานะและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงอีกด้วย ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงแรมหรูที่มีราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นบนถนนสาทรอีก 1 แห่งโดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2567 ด้วยเหตุนี้ ผลดำเนินงานของบริษัทส่วนใหญ่จึงจะขึ้นอยู่กับลูกค้าเฉพาะกลุ่มและพึ่งพาผลการดำเนินงานของ FSH และ CPH เป็นหลักในช่วง 3 ปีข้างหน้า

เมื่อเทียบกับบริษัทคู่แข่งในธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วจะเห็นได้ว่าโรงแรมของบริษัทนั้นมีการกระจุกตัวในด้านทำเลพื้นที่ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะมีความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจมากกว่าบริษัทคู่แข่งที่มีพอร์ตการลงทุนในโรงแรมที่มีความหลากหลายมากกว่า

คาดว่ากระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้จะอ่อนแอลง

ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัทน่าจะถดถอยลงอย่างมากเมื่อธุรกรรมการซื้อสินทรัพย์เสร็จสิ้น โดยความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้สินน่าจะปรับตัวลดลงไปอยู่ในระดับที่อ่อนแอมากในช่วง 3 ปีข้างหน้าซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจโรงแรมที่ยังคงซบเซาในขณะที่หนี้คงค้างของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับปี 2564-2566 นั้นคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทน่าจะขับเคลื่อนโดยการดำเนินงานของ FSH และ CPH เป็นหลัก โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนในช่วง 2 ปีแรกจากธุรกิจโรงแรมและคาดว่าบริษัทจะขายกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นออกไปภายในปี 2564

ในสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยมีปัจจัยส่งเสริมสำคัญคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้แก่ประชากรจำนวนมากทั่วโลก ทริสเรทติ้งจึงคาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านบาทในปี 2564 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2-2.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งก็คาดการณ์ว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะลดลงอย่างมากในปี 2564 แต่น่าจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นทุกปีหลังจากนั้น ทริสเรทติ้งประมาณการว่าธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายได้ประมาณ 300-500 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 ทั้งนี้ ภายใต้การคาดการณ์ของทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจโรงแรมของบริษัทน่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากกว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจเดิมโดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

ในขณะเดียวกัน ภาระหนี้สินรวมของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เป็น 6-6.5 พันล้านบาทในระหว่างปี 2565-2566 จาก 3.1 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2563 จากการซื้อกิจการขนาดใหญ่ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อเงินทุนก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 34%-38% ในช่วงเวลาคาดการณ์จากระดับ 15.6% ณ เดือนกันยายน 2563 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะยังคงอยู่ในระดับสูงมากเกินกว่า 10 เท่าในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานนั้นทริสเรทติ้งคาดว่าจะยังคงติดลบในช่วง 2 ปีแรกจากผลกระทบของโรคโควิด 19 แต่ก็น่าจะกลับเป็นบวกได้ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะอยู่ต่ำกว่าระดับ 5% โดยระดับของอัตราส่วนดังกล่าวบ่งบอกถึงกระแสเงินสดที่มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับภาระหนี้สิน

สภาพคล่องเพียงพอสำหรับปี 2564-2565

ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณเงินสดที่มีจำนวนมากของบริษัทจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากของธุรกิจโรงแรมไปได้ โดย ณ เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีเงินสด เงินฝาก และเงินลงทุนระยะสั้นจำนวนมากรวมประมาณ 2.89 พันล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้เมื่อรวมกับเงินที่จะได้จากการขายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยออกไปก็จะมีมากเกินพอที่จะใช้สำหรับการซื้อหุ้นในกิจการโรงแรมทั้ง 2 แห่ง ส่วนเงินที่เหลือนั้นยังเพียงพอที่บริษัทจะใช้ในการจ่ายดอกเบี้ย ชำระหนี้สินทางการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในช่วงปี 2564-2565 ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้หลักที่บริษัทจะต้องชำระในช่วงปี 2564-2565 นั้นจะมีเพียงหุ้นกู้จำนวน 1.03 พันล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดในเดือนธันวาคม 2564 นี้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะทำการออกหุ้นกู้ใหม่หรือรีไฟแนนซ์เพื่อชำระหนี้หุ้นกู้ดังกล่าวโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเก็บรักษาเงินสดเอาไว้

แผนการที่จะเพิ่มทุนใหม่รวมทั้งขายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นและสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักออกไปก็ถือว่าเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่บริษัทด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมีข้อสังเกตว่าบริษัทจะมีความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์เนื่องจากเงินกู้ยืมระยะยาวที่ใช้ในการซื้อกิจการโรงแรมจำนวน 5 พันล้านบาทนั้นจะครบกำหนดในอีก 3 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 2567 โดยบริษัทตั้งใจที่จะรีไฟแนนซ์เงินจำนวนดังกล่าวด้วยเงินกู้จากธนาคาร โดยที่ความสำเร็จของการรีไฟแนนซ์นั้นคาดว่าจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของโรงแรมทั้ง 2 แห่งของบริษัทในช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านบาทในปี 2564 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 2.5 พันล้านบาทในปี 2566

? อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวม (ซึ่งรวมรายได้จากการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม) จะอยู่ในช่วง 44%-55%

? เงินลงทุนรวมซึ่งรวมค่าซื้อโรงแรมจำนวน 1.05 หมื่นล้านบาทและค่าก่อสร้างโครงการ ?Sathorn Project One? จะอยู่ที่ 1.14 หมื่นล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2564-2566

? บริษัทจะขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่นออกไปในปี 2564

? จะไม่มีการจ่ายเงินปันผลในระหว่างปี 2564-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่อยู่ในระดับสูงของการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ทริสเรทติ้งมองว่ายังคงมีความเป็นไปได้ที่การดำเนินธุรกิจโรงแรมของบริษัทนั้นอาจจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาตกต่ำของตลาดท่องเที่ยวที่ยืดเยื้อจากการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ของโรคโควิด 19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกต่อไป

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้นเป็นไปได้ยากในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเนื่องจากแนวโน้มของธุรกิจโรงแรมยังมีความไม่แน่นอนสูง ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ซึ่งอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการท่องเที่ยวภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด นอกจากนี้ แรงกดดันในด้านลบต่ออันดับเครดิตยังอาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทมีสภาพคล่องที่ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ หรือบริษัทมีการลงทุนเพิ่มโดยการก่อหนี้จากเงินกู้อีกด้วย

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
  • วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (PDI)

อันดับเครดิตองค์กร: BB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ