ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง” ที่ “BBB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 15, 2021 17:37 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนการเติบโตของธุรกิจของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ ฐานทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับแข็งแรง ตลอดจนคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารจัดการได้ รวมถึงการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและการเงินจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการแข่งขันที่รุนแรงในสินเชื่อรถยนต์ รวมทั้งภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแออันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยังเป็นความท้าทายของบริษัทในการรักษาความสามารถในการทำกำไรและคงคุณภาพสินทรัพย์เอาไว้ให้ได้

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะทางการตลาดขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

สถานะทางการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเห็นได้จากพอร์ตสินเชื่อรวมที่มีอัตราการเติบโตอย่างมั่นคง ทั้งนี้ ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4.98 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งเติบโตที่ระดับ 12% จากสิ้นปี 2563 โดยการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุก รวมทั้งการขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยสูง โดยเน้นไปที่สินเชื่อจำนำทะเบียนรถเป็นหลัก และมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมซึ่งมีความอ่อนไหวค่อนข้างน้อยต่อสภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างเช่น กลุ่มลูกค้าด้านการแพทย์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และบรรจุภัณฑ์ บริษัทยังได้ขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแสงอาทิตย์ ภายหลังจากได้รับความรู้ความชำนาญจากกลุ่มบริษัท Chailease ในประเทศไต้หวันซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท

ทริสเรทติ้งประมาณการว่ายอดสินเชื่อของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 18% ในปี 2564 และจะเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 และคาดว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มรถบรรทุก ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งการมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและการก่อสร้างของภาครัฐซึ่งมีความอ่อนไหวค่อนข้างน้อยต่อสภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นั้นน่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อให้ยังคงแข็งแกร่งต่อไป ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 พอร์ตสินเชื่อรวมของบริษัทเป็นสินเชื่อรถยนต์ประมาณ 70% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อรถบรรทุก ในขณะที่สินเชื่ออื่นที่เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโต ได้แก่ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการซึ่งสร้างผลตอบแทนที่ 10%-12% สูงกว่าสินเชื่อรถยนต์ที่ 7%-8%

สถานะเงินทุนแข็งแรง

ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับฐานทุนของบริษัทจะยังคงเข้มแข็งในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงคงอยู่ที่ 15.1% จาก 12.1% ณ สิ้นปี 2563 โดยสถานะเงินทุนที่เข้มแข็งขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มทุนใหม่จำนวน 3 พันล้านบาทในเดือนมิถุนายน 2564 โดยสถานะเงินทุนของบริษัทนั้นเพียงพอที่จะสนับสนุนแผนการขยายสินเชื่อของบริษัทได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ในช่วง 15%-17% ในระหว่างปี 2564-2566 ถึงแม้ว่าอัตราการขยายตัวของสินเชื่อของบริษัทจะอยู่ในระดับสูงและอัตราการจ่ายเงินปันผลตามนโยบายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 60% แต่ทริสเรทติ้งก็ยังเชื่อว่าฐานทุนของบริษัทที่เกิดจากการสะสมผลกำไรอย่างต่อเนื่องน่าจะช่วยสนับสนุนสถานะเงินทุนของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้นได้

บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงเป็น 4.9 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 จาก 6.9 เท่า ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวยังต่ำกว่าข้อกำหนดทางการเงินที่บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 10 เท่า

คุณภาพสินเชื่อยังคงดี

บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านเครดิตได้ดีกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี จากนโยบายในการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพ โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต หรือลูกหนี้ชั้นที่ 3) ต่อสินเชื่อรวมลดลงเหลือ 2.5% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 จาก 2.9% ณ สิ้นปีก่อนหน้า ในขณะเดียวกัน สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดขึ้นใหม่ (NPL Formation) ก็ลดลงเป็น 1.1% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จากระดับ 1.6% ในปี 2563

อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจจะได้รับผลกระทบด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอยลงจากสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5% ในระหว่างปี 2564-2566 เนื่องจากยอดสินเชื่อของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดใหม่ของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยมาที่ระดับประมาณ 1.2%-1.3% ในระหว่างปี 2564-2566 ส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นน่าจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 1.3%-1.5% ในระหว่างปี 2564-2566

บริษัทคาดว่าพอร์ตลูกหนี้ประมาณ 10% อาจจะมีความเป็นไปได้ที่ได้รับผลกระทบภายหลังจากสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยลูกหนี้กลุ่มนี้มาจากลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมการให้บริการและการท่องเที่ยวเป็นหลัก บริษัทได้มีนโยบายตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงดังกล่าว ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 100% ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 87%

คุณภาพในการทำกำไรยังคงเดิม

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพในการทำกำไรในระดับปานกลางต่อไปในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ด้วยวิธีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.6% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 2.5% ในปี 2563 ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 545 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 27% เมื่อปรียบเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปีก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากการมีรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

การที่บริษัทขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงเมื่อไม่นานมานี้ อย่างเช่นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ คาดว่าจะช่วยชดเชยรายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์ที่มีแนวโน้มลดลง ทริสเรทติ้งประมาณการว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.7%-4.9% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากระดับปัจจุบันที่ 4.9% นอกจากนี้ บริษัทได้มุ่งเน้นการสร้างรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภายหลังจากที่ได้รับใบอนุญาตนายหน้าประกันชีวิต ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้นในปี 2563 และในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ทำให้แนวโน้มของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยน่าจะแข็งแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของค่าใช้จ่าย ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้ต่ำกว่าระดับ 27% ของรายได้รวมในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าเอาไว้ได้จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยภาพรวมอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.6%-2.7% ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

การจัดหาแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องยังคงเพียงพอถึงแม้ว่ามีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินระยะสั้นอยู่บ้าง

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสถานะเงินทุนอยู่ในเกณฑ์ที่เพียงพอ ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนการใช้หนี้สินทางการเงินระยะสั้นซึ่งรวมถึงส่วนของหนี้สินทางการเงินระยะยาวที่ครบกำหนดภายใน 1 ปีอยู่บ้าง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงจากสภาพคล่องใน 12 เดือนข้างหน้าได้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินระยะสั้นอยู่ในระดับประมาณ 46% ของหนี้สินทางการเงินรวม ซึ่งหนี้สินทางการเงินระยะสั้นที่ครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี ประกอบด้วย หนี้สินทางการเงินระยะสั้น 26% และหนี้สินทางการเงินระยะยาวที่ครบกำหนดภายใน 1 ปีอีก 20% ซึ่งบริษัทมีนโยบายจะพึ่งพิงแหล่งเงินทุนระยะยาวเพิ่มขึ้นเป็น 80% และระยะสั้น 20%

ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2564 บริษัทมีความไม่สอดคล้องกันในอายุของสินทรัพย์และหนี้สินอยู่บ้าง โดยบริษัทคาดว่าจะได้รับเงินสดจากการชำระคืนหนี้สินเชื่อของลูกหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าที่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทในขณะที่ภาระการชำระคืนหนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีวงเงินสำรองจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และความสัมพันธ์อันดีกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ซึ่งสามารถบรรเทาความเสี่ยงจากสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นได้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2564 บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่งรวมทั้งสิ้นจำนวน 3.96 หมื่นล้านบาท โดยที่ 20% ของวงเงินดังกล่าวนั้นยังไม่ได้เบิกใช้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวงเงินกู้ยืมจากธนาคารบางส่วนมีการค้ำประกันโดยการโอนสิทธิลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ บริษัทจึงอาจมีข้อจำกัดในการขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมในอนาคตได้ ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีสัดส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้ชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 33%

สินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ได้รับผลกระทบที่จำกัดจากสถานการณ์โควิด 19

ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์เติบโตขึ้น 6.6% ซึ่งสวนทางกับยอดขายรถยนต์นั่งที่ชะลอตัวลงถึง 5.4% ทั้งนี้ ผลกระทบที่มีต่อยอดขายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์นั่งนั้นสะท้อนถึงอุปสงค์ของรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่สูงขึ้นอย่างมากโดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากกิจกรรมการขนส่งสินค้าในช่วงมาตรการปิดเมือง (Lockdown Measure) ในขณะเดียวกัน ยอดจดทะเบียนใหม่ของรถบรรทุกก็มีอัตราเพิ่มขึ้นที่ระดับ 19% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 ด้วย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่มีต่อตลาดรถยนต์โดยรวมเมื่อผนวกกับความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นของสถาบันการเงินก็ส่งผลทำให้ยอดสินเชื่อรถยนต์คงค้างของผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหดตัวลง 0.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตที่ระดับ 1.9% ในช่วงเดียวกันของปี 2563 ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2565 จะช่วยทำให้ผลการดำเนินงานของทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมสินเชื่อรถยนต์ดีขึ้น ในขณะที่คุณภาพสินเชื่อรถยนต์โดยภาพรวมที่ถดถอยลงในปี 2563-2564 นั้นน่าจะเกิดเพียงชั่วคราวและอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการได้

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2564-2566 ดังต่อไปนี้

? การขยายตัวของสินเชื่อจะอยู่ที่ประมาณ 18% ในปี 2564 และจะเติบโตที่ระดับ 9% ต่อปีหลังจากนั้น

? ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ 4.7%-4.9%

? ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจะอยู่ที่ประมาณ 1.3%-1.5%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ต่อไปได้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนความคาดหวังว่าฐานทุนและความสามารถในการทำกำไรจะยังคงแข็งแรง อีกทั้งคุณภาพสินทรัพย์ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถปรับสถานะทางการตลาดให้ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ยังสามารถรักษาคุณภาพสินเชื่อ และมีผลประกอบการทางการเงินอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และมีฐานทุนที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับ 25%

ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์ถดถอยลงอย่างมากจนกระทั่งทำให้อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยมากกว่า 4% ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อความสามารถในการทำกำไร แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลงได้เช่นกันหากบริษัทขยายธุรกิจอย่างมากจนทำให้อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดต่ำลงกว่าระดับ 9%

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563

บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (ASK)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ