ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บ. ท่าเรือราชาเฟอร์รี่” เป็น “BB” จาก “BB+” แนวโน้ม “Negative”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 21, 2022 11:52 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) เป็น ?BB? จากเดิมที่ ?BB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนตัวกว่าคาดจากผลกระทบที่ยืดเยื้อของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่มีต่อการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเกาะสมุยและเกาะพะงัน และสภาพคล่องของบริษัทที่ตึงตัวขึ้น อันดับเครดิตยังสะท้อนการพิจารณาถึงความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งอาจจะกดดันการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและผลการดำเนินงานของบริษัทต่อไป อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวในธุรกิจของบริษัทสอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยภาพรวม

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงธุรกิจเดินเรือเฟอร์รี่ของบริษัทในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีที่มีสถานะมั่นคงบนเส้นทางจากท่าเรือดอนสักถึงเกาะสมุยและเกาะพะงัน อย่างไรก็ดี อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีขนาดธุรกิจที่เล็กและมีพื้นที่ในการเดินเรือที่กระจุกตัว

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

บริษัทมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงแต่คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวขึ้น

ผลการดำเนินงานของบริษัทได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าที่คาดจากการแพร่ระบาดหลายระรอกของโรคโควิด 19 ซึ่งกดดันการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจโดยรวมในปี 2564 โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จำนวนผู้โดยสารเรือเฟอร์รี่ของบริษัทลดลง 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าหรือลดลง 67% เมื่อเทียบกับปี 2562 มาอยู่ที่ประมาณ 274,000 คน และการขนส่งยานพาหนะลดลง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าหรือลดลง 40% เมื่อเทียบกับปี 2562 มาอยู่ที่ 304,000 คัน โดยการขนส่งยานพาหนะลดลงในระดับที่น้อยกว่าเนื่องจากยังมีงานก่อสร้างต่าง ๆ ที่ดำเนินอยู่บนเกาะทั้งสองแห่งและมีการขนส่งสินค้าเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ท้องถิ่นบนเกาะ เป็นผลให้บริษัทมีรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ลดลง 31% จากปีก่อนมาอยู่ที่ 270 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่ารายได้จากช่วงเดียวกันของปี 2562 อยู่ 51% บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงมากโดยอยู่ที่ 7 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จาก 70 ล้านบาทในชวงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 บริษัทเริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายที่จะนำประเทศกลับสู่ภาวะปกติท่ามกลางโรคโควิด 19 โดยมีการผ่อนคลายมาตราการจำกัดการเดินทางตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนทำให้รัฐบาลเข้มงวดนโยบายจำกัดการเดินทางอีกครั้งในช่วงปลายปี 2564 ต่อมาเมื่อความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนบรรเทาลงจากการที่อัตราผู้ป่วยที่มีอาการหนักและอัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับไม่สูงนัก รัฐบาลจึงได้ผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางอีกครั้งหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าการฟื้นตัวจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2565 เนื่องจากประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลกมีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับที่สูงและวัคซีนมีประสิทธิผลดีในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคโควิด 19

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรของบริษัทจะทยอยฟื้นตัวตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป และจะกลับไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปี 2567 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเติบโต 40% ในปี 2565 เพิ่มขึ้น 50% ในปี 2566 และ 20% ในปี 2567 และปริมาณการขนส่งยานพาหนะคาดว่าจะเติบโตขึ้น 15% ในปี 2565 เพิ่มขึ้น 28% ในปี 2566 และ 12% ในปี 2567 เมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวดังกล่าว ทริสเรทติ้งคาดว่ารายของบริษัทจะทยอยเพิ่มขึ้นในช่วง 480-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 จากระดับ 380 ล้านบาทในปี 2564

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงมีความไม่แน่นอน ทั้งจากการแพร่ระบาดที่อาจจะรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนและการกลายพันธุ์ของไวรัสที่มีความอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้มีความกังวลด้านสาธารณสุขมากขึ้นและกดดันอุปสงค์การท่องเที่ยว

สถานะทางการตลาดที่มั่นคงในธุรกิจเดินเรือเฟอร์รี่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

สถานะทางธุรกิจที่มั่นคงของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทเป็นผู้ให้บริการเรือเฟอร์รี่ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและการมีคู่แข่งจำนวนน้อยราย ทั้งนี้ ในบริเวณท่าเรือดอนสักมีผู้ให้บริการเดินเรือเฟอร์รี่เพียง 2 รายเท่านั้น ในขณะเดียวกัน อุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจนี้ก็อยู่ในระดับสูงเนื่องจากผู้ให้บริการจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตก่อน อีกทั้งที่ดินเพื่อสร้างท่าเรือใหม่ก็มีราคาที่สูงมาก ปัจจุบันบริษัทมีเรือเฟอร์รี่ทั้งหมดรวม 14 ลำและบริษัทยังเป็นเจ้าของท่าเรือสากลถึง 2 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือดอนสักและท่าเรือเกาะสมุย การมีขนาดกองเรือที่ใหญ่และความสามารถในการควบคุมการขึ้นและลงเรือส่งผลให้บริษัทสามารถบริหารการเดินเรือได้อย่างยืดหยุ่นและมีจำนวนรอบการให้บริการที่มากกว่าคู่แข่ง บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่จากท่าเรือดอนสักสู่เกาะพะลวยซึ่งอยู่ใกล้กับเกาะสมุย เพื่อเน้นย้ำกลยุทธ์ Island Gateway โดยบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างท่าเรือบนเกาะพะลวยซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงปลายปี 2565

ฐานรายได้ที่เล็กพร้อมกับการกระจุกตัวของพื้นที่ดำเนินธุรกิจ

ธุรกิจของบริษัทจัดว่ามีขนาดเล็กซึ่งสะท้อนจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่จำกัดและความสามารถในการแบกรับภาระหนี้ที่ค่อนข้างต่ำ ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 700-750 ล้านบาทต่อปีและมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 130-140 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีและเกาะสมุยเป็นอย่างมาก ขนาดของตลาดที่เล็กและแหล่งรายได้ที่ไม่กระจายตัวส่งผลทำให้บริษัทมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านลบของสภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ดำเนินธุรกิจของบริษัทและเป็นปัจจัยจำกัดโอกาสในการเติบโตในระยะยาวของบริษัทอีกด้วย

ความสามารถในการทำกำไรได้รับแรงกดดันจากปริมาณการขนส่งที่ลดลง

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอ่อนแอลงมากจากปริมาณการขนส่งที่ลดลงในช่วงปีที่ผ่านมา โดยบริษัทได้ปรับตารางการเดินเรือให้เหมาะสมที่สุดและลดต้นทุนในการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อรับมือกับอุปสงค์ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ต้นทุนที่ปรับลดลงไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้ที่ลดลงอย่างมาก ทำให้อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ประมาณ 2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จากประมาณ 17%-20% ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อีกทั้งราคาเชื้อเพลิงซึ่งเป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2564 อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนในส่วนดังกล่าวไปยังลูกค้าผ่านการปรับราคาค่าโดยสารซึ่งการปรับราคาจะอ้างอิงตามราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ณ อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อผ่านพ้นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างไรก็ตาม กองเรือที่มีอายุการใช้งานสูงอาจส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สูง และมีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นต้นทุนหลักอย่างหนึ่งของบริษัทอาจปรับเพิ่มสูงขึ้นอีก ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเพิ่มเติมที่จะกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้ง อัตรากำไรของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 3% ในปี 2564 และปรับตัวดีขึ้นเป็น 13% ในปี 2565 และ 20%-22% ในปี 2566-2567 ซึ่งจะคิดเป็นกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 60 ล้านบาทในปี 2565 และ 130-150 ล้านบาทต่อปีในปี 2566-2567

ภาระหนี้คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงในปี 2565

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังอยู่ในระดับสูงในปี 2565 จากกระแสเงินสดที่อ่อนตัวลงและแผนการลงทุนของบริษัท ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2566-2567 โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงมากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จากระดับต่ำกว่า 1 เท่าในปี 2562 และ 4 เท่าในปี 2563 เนื่องจากกำไรลดลงและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการขยายท่าเรือดอนสักท่าที่ 4 และ 5 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ภายใต้กรณีพื้นฐานว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังอยู่ในระดับสูงคืออยู่ที่เกินกว่า 7 เท่าในปี 2565 ก่อนที่จะปรับตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ 3 เท่าในปี 2566-2567 โดยสมมติฐานดังกล่าวได้รวมแผนการซ่อมบำรุงเรือ การก่อสร้างท่าเทียบเรือบนเกาะพะลวย และการจัดหาเรือมือสองสำหรับการให้บริการเส้นทาง ดอนสัก-เกาะพะลวย โดยคาดว่าบริษัทจะมีการลงทุนรวมประมาณ 260 ล้านบาทในปี 2565-2567

ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีหนี้สินรวม 303 ล้านบาท โดยภาระหนี้เกือบทั้งหมดเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 95% ซึ่งส่งผลให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท

สภาพคล่องตึงตัว

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่ตึงตัว โดย ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีแหล่งที่มาของสภาพคล่องประกอบด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 57 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 40 ล้านบาทในปี 2565 นอกจากนี้ ในไตรมาส 4 ของปี 2564 บริษัทได้รับอนุมัติวงเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 110 ล้านบาทจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งเพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนและเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ในขณะที่แหล่งใช้ไปของสภาพคล่องประกอบด้วยภาระหนี้ที่จะครบกำหนดรวมประมาณ 100 ล้านบาทและการลงทุนของบริษัทจำนวน 160 ล้านบาทในปี 2565 โดยทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจำเป็นจะต้องกู้ยืมเพิ่มเติมหรือกู้ยืมทดแทนวงเงินที่จะครบกำหนดชำระเพื่อสนับสนุนการลงทุนและเสริมสภาพคล่องของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจากับธนาคารเจ้าหนี้เพื่อขอปรับปรุงแผนการชำระหนี้เงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2565 เพื่อรักษาสภาพคล่อง

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? บริษัทจะมีรายได้ 380 ล้านบาทในปี 2564 ประมาณ 480 ล้านบาทในปี 2565 และ 600-700 ล้านบาทต่อปีในปี 2566-2567

? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 3% ในปี 2564 เพิ่มเป็น 13% ในปี 2565 และ 20%-22% ในปี 2566-2567

? เงินลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 260 ล้านบาทในช่วงปี 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งอาจจะกดดันการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเกาะสมุยและเกาะพะงันและผลการดำเนินงานของบริษัทต่อไป และยังสะท้อนความกังวลต่อสภาพคล่องของบริษัทที่มีความตึงตัว

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับมาเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? ได้หากบริษัทมีผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินที่ดีกว่าที่คาด ซึ่งอาจเกิดจากการที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจบนเกาะสมุยและเกาะพะงันกลับมาฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะทางการเงินและ/หรือสภาพคล่องของบริษัทถดถอยลงกว่าที่คาดอย่างมีนัยสำคัญ

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) (RP)

อันดับเครดิตองค์กร: BB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ