ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. โออิชิ กรุ๊ป” ที่ “A+” เนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 27, 2022 15:31 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดเครื่องดื่มชาพร้อมดื่มในประเทศไทยซึ่งมีตราสินค้าเป็นที่รู้จักอย่างดีและเครือข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวาง ตลอดจนสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท อันดับเครดิตดังกล่าวยังได้รวมการปรับเพิ่มสถานะเครดิตขึ้นมา 1 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile : SACP) ที่ระดับ ?a? ซึ่งสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยเชิงกลยุทธ์ (Strategic Subsidiary) ของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้งที่ระดับ ?AA/Stable?) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงผลการดำเนินงานในธุรกิจอาหารของบริษัทที่คาดว่าน่าจะฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นภายหลังจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็มีข้อจำกัดบางประการจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจหลักของบริษัท รวมถึงความท้าทายจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นผู้นำในตลาดชาพร้อมดื่ม

บริษัทยังคงสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งโดยเป็นผู้นำในตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 48.3% ของมูลค่าตลาดรวมในช่วง 12 เดือนย้อนหลังสิ้นสุด ณ เดือนมิถุนายน 2565 ทั้งนี้ ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทค่อนข้างคงที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยความแข็งแกร่งทางการแข่งขันของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากตราสินค้าของบริษัทซึ่งเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี รวมถึงการมีเครือข่ายกระจายสินค้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ กิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ตลอดจนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ

ทริสเรทติ้งมองว่าตลาดชาพร้อมดื่มของไทยมีทิศทางที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นในปี 2565 จากอุปสงค์ที่ฟื้นตัว รวมทั้งกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ ที่กลับมาดำเนินได้ตามปกติ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ โดยในปี 2564 ตลาดชาพร้อมดื่มมีมูลค่า 1.12 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปี 2563 อีกทั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยอดขายชาพร้อมดื่มก็เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ประเภทอื่น ๆ โดยมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 20.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 6.9 พันล้านบาท

ธุรกิจเครื่องดื่มมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง

ในช่วง 3 ปีข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจเครื่องดื่มของบริษัทจะยังคงสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งตามสภาวะตลาดที่เติบโตและจากสถานะการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาด ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มของบริษัทจะเติบโตเพิ่มขึ้น 5%-13% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ยอดขายชาพร้อมดื่มของบริษัทที่จัดจำหน่ายในประเทศได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดีในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และคาดว่าจะยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไปในปี 2565 ซึ่งขณะนี้ยอดขายเครื่องดื่มภายในประเทศของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่าในช่วงก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดแล้ว ทั้งนี้ บริษัทรายงานยอดขายเครื่องดื่มในประเทศสำหรับปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563-กันยายน 2564) ซึ่งไม่รวมยอดขายสินค้าที่รับจ้างผลิตตามสัญญาอยู่ที่ระดับ 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีงบประมาณ 2563 ในขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 16% จากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนโดยมาอยู่ที่ระดับ 4.5 พันล้านบาท ส่วนเครื่องดื่มที่บริโภคระหว่างเดินทาง (On-the-go Products) ซึ่งจัดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อนั้นก็มียอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยได้รับประโยชน์จากกิจกรรมนอกบ้านที่มีมากขึ้น ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทจากช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 21% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ในขณะที่ยอดขายจากร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) เพิ่มขึ้น 9%

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และการออกผลิตภัณฑ์ในหมวดหมู่ใหม่ ๆ จะช่วยเติมเต็มศักยภาพยอดขายและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผลการดำเนินงานในธุรกิจเครื่องดื่มของบริษัทให้มากยิ่งขึ้น บริษัทยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยเมื่อไม่นานมานี้บริษัทได้เปิดตัวชาเขียวน้ำผึ้งมะนาวสูตรไม่มีน้ำตาลเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพที่มีจำนวนมากขึ้นซึ่งทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่กว้างมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังได้ออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ และจัดรายการรณรงค์ส่งเสริมการขายที่มีประสิทธิภาพสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอีกด้วย

สำหรับตลาดในต่างประเทศนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายสินค้าส่งออกของบริษัทจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาในช่วง 3 ปีข้างหน้าภายหลังจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในวงกว้างทั่วโลก ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 ยอดขายสินค้าส่งออกของบริษัทฟื้นตัวขึ้นที่ระดับ 9% จากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนแต่ยังคงต่ำกว่ายอดขายในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2019 อยู่ 24% ในขณะที่ยอดขายชาเขียวในประเทศกัมพูชาซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของบริษัทนั้นกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งโดยเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการฟื้นตัวของตลาดส่งออกจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสร้างการเติบโตของยอดขายโดยรวมในธุรกิจเครื่องดื่มของบริษัท

ธุรกิจอาหารเริ่มฟื้นตัว

ทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจค้าอาหารของบริษัทมีทิศทางที่จะฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแกร่งหลังจากซบเซาเป็นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์โรคโควิด 19

ในปีงบประมาณ 2564 บริษัทมียอดขายจากธุรกิจอาหารอยู่ที่ระดับ 3.6 พันล้านบาท ลดลง 29.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีงบประมาณก่อน โดยเปรียบเทียบกับยอดขายที่ระดับ 7.1 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในขณะที่ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 รายได้จากธุรกิจอาหารของบริษัทเพิ่มขึ้น 35.3% จากช่วงเดียวกันในปีงบประมาณก่อนมาอยู่ที่เกือบ 4 พันล้านบาท โดยยอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นนั้นได้รับแรงหนุนจากการคลายความกังวลเกี่ยวกับโรคโควิด 19 และการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (Same-store Sales) ที่ฟื้นตัว ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 ยอดขายจากร้านอาหารของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้น 32.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีงบประมาณก่อน

ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจอาหารของบริษัทจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีสาระสำคัญต่อไป โดยคาดว่ารายได้จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 5.3 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2565 และจะเติบโตที่ระดับ 11%-20% ต่อปีในช่วงปีงบประมาณ 2566-2567 ซึ่งปัจจัยขับเคลื่อนจะมาจากทั้งยอดขายจากสาขาเดิมและจากการขยายสาขา โดยการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมน่าจะได้รับแรงหนุนจากการที่ร้านอาหารกลับมาเปิดบริการให้ลูกค้านั่งรับประทานอาหารในร้านได้ตามปกติ รวมทั้งจำนวนลูกค้าที่รับประทานอาหารในร้านที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังวิกฤติการณ์โรคโควิด 19 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่ารายได้จากสินค้าอาหารแช่เย็นและแช่แข็งของบริษัทจะเติบโตขึ้นจากการออกสินค้าสำเร็จรูปในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นและจากการที่บริษัทมีตลาดที่ครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น

ในอนาคตบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการขยายสาขาร้านอาหารจะมุ่งเน้นแบรนด์ร้านอาหาร ?ชาบูชิ? (Shabushi) และ ?โออิชิ บิซโทโระ? (Oishi Biztoro) ซึ่งเป็นร้านอาหารแบรนด์ใหม่ของบริษัทรวมแล้วที่ประมาณปีละ 30 สาขา ทริสเรทติ้งคาดว่า ?ชาบูชิ? จะยังคงเป็นแบรนด์ร้านอาหารหลักของบริษัทต่อไปและมองว่า ?โออิชิ บิซโทโระ? จะมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีเนื่องจากการขยายสาขานั้นใช้เงินลงทุนน้อยกว่าและเมนูต่าง ๆ ก็เหมาะสำหรับอาหารจานด่วนอีกทั้งยังสะดวกต่อการซื้อกลับไปรับประทานที่บ้าน (Grab-and-go) และการจัดส่งผ่านการสั่งซื้อ (Delivery) ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการของวิถีชีวิตที่ต้องการความรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายฐานลูกค้าด้วยการขยายสาขาใหม่ที่เข้าถึงได้ง่ายในทำเลใหม่ ๆ เช่น ในสถานีบริการน้ำมัน ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น

กำไรจะฟื้นตัว

ในปีงบประมาณ 2564 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ระดับ 1.4 พันล้านบาท ซึ่งลดลงจากระดับ 2.2 พันล้านบาทในช่วงก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 นั้น บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีงบประมาณก่อน ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของยอดขายจากธุรกิจอาหารและผลการดำเนินงานในธุรกิจเครื่องดื่มที่ดีขึ้น

ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากราคาวัตถุดิบหลัก ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและแผนการขยายเครือข่ายร้านอาหาร อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อรักษาอัตราส่วนกำไรต่อยอดขาย (Margin) เอาไว้ เช่น การบริหารจัดการวัตถุดิบ การหาส่วนประกอบอาหารทดแทน การจัดรายการรณรงค์ส่งเสริมการขายในระดับที่เหมาะสม และการปรับราคาสำหรับรายการอาหารบางเมนู เป็นต้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการประหยัดต่อขนาดและยอดขายที่เพิ่มขึ้นจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่บริษัทได้รับจากต้นทุนที่สูงขึ้นได้บ้าง นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การควบคุมการสูญเสียและสิ้นเปลือง (Waste Control) และการบริหารจัดการกำลังคนเพื่อบรรเทาผลกระทบ ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรต่อยอดขาย (EBITDA Margin) ของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วง 17.5%-18.5% โดยมี EBITDA อยู่ในช่วง 2.3-2.7 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปีงบประมาณ 2565-2567 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะอยู่ในช่วง 2.1-2.5 พันล้านบาทต่อปี

หนี้สินอยู่ในระดับต่ำและมีสภาพคล่องเพียงพอ

ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งโดยมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนขนาดใหญ่และมีการจ่ายเงินปันผลด้วยอัตราที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ บริษัทจึงมีสถานะทางการเงินเป็นเงินสดสุทธิ (Net Cash Position) โดย ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 2.9 พันล้านบาท รวมถึงยังมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 5 พันล้านบาทด้วย

ความต้องการในการใช้เงินทุนหลัก ๆ ของบริษัทนั้นคือการลงทุนซึ่งคาดว่าบริษัทจะมีการใช้เงินลงทุนประมาณปีละ 0.5-1.2 พันล้านบาทในช่วงปีงบประมาณ 2565-2567 เพื่อขยายสาขาร้านอาหารและขยายกำลังการผลิตในธุรกิจเครื่องดื่ม ในการนี้ หากไม่มีการซื้อกิจการโดยการก่อหนี้ขนาดใหญ่ ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะยังคงมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง อีกทั้งจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอโดยมีความต้องการในการกู้ยืมเพียงเล็กน้อยในช่วง 3 ปีข้างหน้า

เป็นบริษัทเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจ

ทริสเรทติ้งพิจารณาสถานะของบริษัทโออิชิ กรุ๊ป ว่าเป็นบริษัทย่อยเชิงกลยุทธ์ของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ โดยเป็นไปตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ บริษัทมีบูรณาการในเชิงกลยุทธ์ทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและทางการเงินร่วมกับบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ในปีงบประมาณ 2564 บริษัทสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 35% ของรายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์และธุรกิจอาหารของกลุ่มและสร้างกำไรในสัดส่วน 55% ของ EBITDA ในกลุ่มธุรกิจนี้ เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของบริษัทในการเป็นบริษัทหลักในธุรกิจนี้ ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าบริษัทจะยังคงสถานะในการเป็นบริษัทเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจโดยมีบูรณาการเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารของกลุ่มในระยะยาวต่อไป

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 1.2-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปีงบประมาณ 2565-2567

? EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับประมาณ 17.5%-18.5%

? เงินลงทุนโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณปีละ 0.5-1.2 พันล้านบาทในช่วงปีงบประมาณ 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะในการเป็นบริษัทย่อยเชิงกลยุทธ์ของบริษัทไทยเบฟเวอเรจต่อไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะผู้นำตลาดในธุรกิจชาพร้อมดื่มในประเทศไทยเอาไว้ได้แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง อีกทั้งบริษัทน่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจอาหารในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงจากที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทมีการลงทุนด้วยการก่อหนี้เชิงรุกจนทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและอย่างต่อเนื่องจากฐานรายได้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเช่นกันในกรณีที่ทริสเรทติ้งเห็นว่าระดับการสนับสนุนที่บริษัทได้รับจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจนั้นเปลี่ยนแปลงไป

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (OISHI)

อันดับเครดิตองค์กร: A+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ