ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. เบาด์ แอนด์ บียอนด์” ที่ “BB” และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิต เป็น “Stable” จาก “Negative”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 7, 2023 09:52 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BB? และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? จาก ?Negative? หรือ ?ลบ? โดยการเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในธุรกิจโรงแรมของบริษัทจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ดีขึ้น และแนวโน้มการฟื้นตัวในอนาคตที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์โรงแรมที่ดีของบริษัทและสภาพคล่องที่ตึงตัวแต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากระดับหนี้สินที่สูงและสินทรัพย์ของบริษัทที่กระจุกตัวอยู่ในโรงแรมเพียง 2 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในทำเลเดียวกัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เปลี่ยนกิจการสู่ธุรกิจโรงแรม

บริษัทได้เปลี่ยนการดำเนินกิจการและหันเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมอย่างเต็มตัวโดยได้ทำการขายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ออกไปทั้งหมดและทำการซื้อกิจการโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 2 แห่ง ทั้งนี้ บริษัทได้ขายกิจการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ทั้งหมดในประเทศไทยและในประเทศญี่ปุ่นออกไปในปี 2564 และต่อมาในช่วงปลายปีเดียวกันบริษัทก็ได้ทำการซื้อหุ้นในสัดส่วน 76% ใน บริษัท เออร์เบิร์น รีสอร์ท โฮเต็ล จำกัด และ บริษัท วอเตอร์ฟร้อนท์ โฮเต็ล จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิในการใช้ทรัพย์สิน ที่ดิน และสิทธิอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของโรงแรม 2 แห่งคือ ?Four Seasons Hotel Bangkok at Chao Phraya? (FSH) และ ?Capella Bangkok? (CPH) ตามลำดับ หลังจากนั้น บริษัทก็ได้ซื้อหุ้นที่เหลืออีก 24% ในบริษัททั้งสองแห่งเสร็จสิ้นภายในเดือนกรกฎาคม 2565 โดยมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้นอยู่ที่จำนวน 1.05 หมื่นล้านบาทซึ่งรวมเงินลงทุนในการซื้อหุ้นสามัญจำนวน 5.5 พันล้านบาทและเงินกู้ยืมอีกจำนวน 5 พันล้านบาท

ในอนาคตบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะขยายไปสู่ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) โดยแสวงหาการลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะตัวและตอบสนองต่อแนวโน้มของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น กลุ่มลูกค้าอายุน้อยที่มีความมั่งคั่งและกลุ่มผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อสูง ปัจจุบันบริษัทมีแผนการพัฒนาโรงแรมเพิ่มอีก 1 แห่งในทำเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในต่างจังหวัดซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2567 เพื่อเป็นการสร้างความหลากหลายในเชิงภูมิศาสตร์ให้แก่กลุ่มโรงแรมของบริษัท

คาดว่าธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องต่อไปในปี 2566

โรงแรมของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จากสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่ดีขึ้นและมาตรการจำกัดการเดินทางที่ผ่อนคลายลงตามลำดับ ซึ่งเป็นผลทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 11 ล้านคนในปี 2565 จาก 4 แสนคนในปี 2564 โดยโรงแรมของบริษัทมีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น 27% และมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 บาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จากอัตราการเข้าพักที่ระดับ 9% และอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนที่ระดับ 11,000 ในปี 2564 นอกจากนี้ โรงแรมของบริษัทยังมีรายได้จากบริการอาหารและเครื่องดื่มที่ดีอีกด้วยซึ่งเป็นผลจากการที่โรงแรมของบริษัททั้งสองแห่งมีห้องอาหารและมีสถานที่จัดงานที่ได้รับความนิยมในขณะที่ผู้บริโภคก็มีความมั่นใจในการทำกิจกรรมนอกบ้านมากยิ่งขึ้น โดยรายได้จากบริการอาหารและเครื่องดื่มคิดเป็น 60% ของรายได้รวมของธุรกิจโรงแรมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565

ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของโรงแรมของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องต่อไปในปี 2566 ก่อนที่จะฟื้นตัวเต็มที่สู่ระดับปกติในช่วงระหว่างปี 2567-2568 จากการเปิดประเทศของจีนในช่วงต้นปี 2566 และการกลับมาของกิจกรรมการจัดประชุมองค์กร การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การจัดประชุมนานาชาติ และการจัดแสดงสินค้า (Meetings, Incentives, Conventions, and Exhibitions -- MICE) ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าโรงแรมของบริษัทจะมีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 2566 และ 65%-67% ในช่วงระหว่างปี 2567-2568 จากระดับ 33% ในปี 2565 และคาดว่าอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนจะอยู่ในช่วง 16,000-17,000 ในช่วงเวลาประมาณการ

ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 พันล้านบาทในปี 2566 และ 3.2-3.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2567-2568 จาก 2.1 พันล้านบาทในปี 2565 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากบริการอาหารและเครื่องดื่ม (รวมรายได้จากงานจัดเลี้ยงและประชุม) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 56% ของรายได้รวมในปี 2565 และจะทยอยลดลงเหลือประมาณ 44% ของรายได้รวมในปี 2568 เนื่องจากรายได้ค่าห้องพักปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คาดว่าจะปรับตัวเป็นบวกเล็กน้อยในปี 2565 จากผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะแข็งแกร่ง และจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 330 ล้านบาทในปี 2566 และ 600-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงติดลบในปี 2566 เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายทางการเงินที่สูงจากหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการซื้อกิจการโรงแรมก่อนที่จะปรับตัวเป็นบวกในปี 2567

มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าโรงแรมทั้ง 2 แห่งของบริษัทมีคุณภาพดีเมื่อพิจารณาจากความใหม่ของโรงแรมและการอยู่ในทำเลที่ตั้งที่ดีตลอดจนการออกแบบที่โดดเด่น โรงแรมทั้ง 2 แห่งเปิดดำเนินการในช่วงปลายปี 2563 โดยโรงแรม FSH ซึ่งมีห้องพักจำนวน 299 ห้องและโรงแรม CPH ซึ่งมีห้องพักจำนวน 101 ห้องนั้นตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุงบนที่ดินติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นทำเลที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการพักผ่อนและการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในโอกาสต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพฯ โดยบริษัทวางตำแหน่งของโรงแรมดังกล่าวให้รองรับกลุ่มลูกค้าระดับสูงที่สุด (Ultra-luxury Segment) ทั้งนี้ ห้องพักของโรงแรม FSH มีขนาดเริ่มต้นที่ 50 ตารางเมตร (ตร.ม.) และของโรงแรม CPH ที่ขนาด 61 ตร.ม. ซึ่งเป็นขนาดที่ค่อนข้างใหญ่กว่าห้องพักของคู่แข่งที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงที่สุด นอกจากนี้ โรงแรมทั้ง 2 แห่งยังบริหารงานโดยแบรนด์ผู้ดำเนินงานโรงแรมระดับโลกคือ ?Four Seasons Hotels and Resorts? และ ?Capella Hotel Group? ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในเรื่องของการดำเนินงานที่มีความราบรื่นตลอดจนคุณภาพบริการที่อยู่ในระดับสูงและสม่ำเสมออีกด้วย

โรงแรม FSH มีบริการร้านอาหาร 6 ร้านในขณะที่โรงแรม CPH มี 5 ร้าน (ซึ่งรวมทั้งร้านอาหาร บาร์ และร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ) โดยโรงแรมแต่ละแห่งมีร้านอาหารที่ได้รับรางวัลดาวมิชลิน 1 ดวง ได้แก่ ร้าน ?Yu Ting Yuan? ของโรงแรม FSH และร้าน ?Cote by Mauro Colagreco? ของโรงแรม CPH นอกจากนี้ โรงแรมทั้ง 2 แห่งยังมีสถานที่จัดประชุมและงานเลี้ยงสังสรรค์ขนาดใหญ่ด้วยโดยโรงแรม FSH มีพื้นที่รวม 3,401 ตร.ม. และโรงแรม CPH มีพื้นที่รวม 2,037 ตร.ม. ในการนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าคุณภาพของสินทรัพย์ดังกล่าวจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการสร้างรายได้ในระยะยาวให้แก่บริษัท

การพึ่งพาสินทรัพย์โรงแรมจำนวนน้อยแห่ง

การพึ่งพารายได้จากโรงแรมเพียง 2 แห่งเป็นหนึ่งในปัจจัยจำกัดของทริสเรทติ้งในการประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัท โดยทั้งโรงแรม FSH และโรงแรม CPH ต่างก็ตั้งอยู่ในทำเลเดียวกันและมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นผู้มีรายได้สูงเช่นเดียวกัน ในการนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าอุตสาหกรรมโรงแรมในภาพรวมนั้นมีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงจากเหตุการณ์เฉพาะและปัจจัยแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น ทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวลงได้คือการมีสินทรัพย์โรงแรมที่กระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่และการมีลูกค้าเป้าหมายที่กว้างขวางและหลากหลาย

บริษัทอาจจะได้รับประโยชน์จากขนาดของธุรกิจได้อีกด้วยหากบริษัทมีสินทรัพย์โรงแรมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากคณะผู้บริหารชุดปัจจุบันของบริษัทมีศักยภาพในการบริหารโรงแรมได้มากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะรวมโรงแรมแห่งใหม่ในแหล่งท่องเที่ยวในต่างจังหวัดที่บริษัทมีแผนจะพัฒนาซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2567 เข้ามาด้วยแล้ว แต่ทริสเรทติ้งก็ยังมองว่าขนาดของสินทรัพย์โรงแรมของบริษัทยังคงค่อนข้างเล็กและมีความหลากหลายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

หนี้สินจะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับสูง

ระดับหนี้สินของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายหลังการการซื้อกิจการโรงแรมซึ่งมีมูลค่าลงทุนสูงในขณะที่โรงแรมยังมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอจากผลกระทบของโรคโควิด 19 โดยบริษัทมีหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 5.2 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2565 จาก 1.0 พันล้านบาทในปี 2563 และ 4.5 พันล้านบาทในปี 2564 จากการซื้อกิจการโรงแรม FSH โรงแรม CPH ในช่วงปลายปี 2564 จนถึงช่วงกลางปี 2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงมากในปี 2565 เนื่องจากคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะเป็นบวกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในปี 2565

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินลงทุนรวมที่ราว ๆ 800 ล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2565-2568 ซึ่งคาดว่าจะใช้ไปในการพัฒนาโรงแรมแห่งใหม่และบำรุงรักษาโรงแรมเดิมของบริษัท บริษัทยังมีแผนจะขายสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการหลักของบริษัทด้วย เช่น พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองและจังหวัดตากเพื่อนำไปใช้สนับสนุนการเติบโตในธุรกิจใหม่ของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถขายสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการหลักได้ในช่วงประมาณการในปี 2566-2568 ซึ่งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 5.4 พันล้านบาทในปี 2566 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงเป็นประมาณ 4.1-4.3 พันล้านบาทภายหลังจากการขายสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการหลักออกไปแล้ว ดังนั้น

ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 17 เท่าในปี 2566 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงเป็น 6-7 เท่าในช่วงระหว่างปี 2567-2568

หุ้นกู้ของบริษัทมีเงื่อนไขทางการเงินสำคัญที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ระดับไม่เกิน 3.5 เท่า โดยบริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.97 เท่า ณ เดือนกันยายน 2565 ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินดังกล่าว

ณ เดือนกันยายน 2565 หนี้ทั้งหมดของบริษัทเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทเองและหนี้ของบริษัทย่อย ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 50% ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้? ของทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งจึงพิจารณาว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทนั้นมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท

สภาพคล่องตึงตัวแต่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่ตึงตัวแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ประมาณ 760 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2565 ในขณะที่ความต้องการในการใช้เงินทุนประกอบด้วยเงินลงทุนซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 600 ล้านบาทและภาระหนี้เงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดอีกประมาณ 25 ล้านบาท ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานนั้นคาดว่าจะติดลบที่ประมาณ 90 ล้านบาทในปี 2566 อนึ่ง บริษัทมีสภาพคล่องเสริมจากการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองและจังหวัดตากซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนทั้งในแง่ของช่วงเวลาที่จะขายได้และจำนวนเงินที่จะได้รับจากการขาย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้รวมของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.1 พันล้านบาทในปี 2565 หลังจากนั้นจะเพิ่มเป็น 2.6 พันล้านบาทในปี 2566 เป็น 3.2 พันล้านบาทในปี 2567 และ 3.4 พันล้านบาทในปี 2568

? EBITDA จะเริ่มปรับตัวเป็นบวกเล็กน้อยในปี 2565 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 330 ล้านบาทในปี 2566 เป็น 600 ล้านบาทในปี 2567 และเป็น 680 ล้านบาทในปี 2568

? งบลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 800 ล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2565-2568

? บริษัทจะขายสินทรัพย์พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองและจังหวัดตากในช่วงระหว่างปี 2566-2568

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยสอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย อีกทั้งบริษัทจะมีความระมัดระวังในการบริหารสภาพคล่องและการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัทดีกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดหมายไว้อย่างมีนัยสำคัญและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 6 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้เป็นอย่างมาก หรือบริษัทมีการลงทุนเพิ่มโดยการก่อหนี้ที่สูงกว่าที่คาดไว้ หรือมีสัญญาณว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) (BEYOND)

อันดับเครดิตองค์กร: BB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ