ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บ. บีเอสแอล ลีสซิ่ง” เป็น “BBB” จาก “BBB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 27, 2023 14:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด เป็นระดับ ?BBB? จาก ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ทั้งนี้ การลดอันดับเครดิตดังกล่าวเป็นผลมาจากการลดอันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile ? SACP) ของบริษัทลงเป็น ?bbb-? จาก ?bbb? ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรที่อ่อนแอลงของบริษัทอันสืบเนื่องมาจากความเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่องของคุณภาพสินทรัพย์และอัตราผลกำไรของบริษัท

อันดับเครดิตของบริษัทได้รวมการปรับเพิ่มขึ้น 1 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะโดยสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่มีต่อสถานะของบริษัทว่าเป็นบริษัทลูกเชิงกลยุทธ์ในเครือของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิต ?AA+/Stable?) ซึ่งอันดับเครดิตได้พิจารณาถึงการได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นบริษัทแม่

ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงการที่บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีแหล่งเงินทุนและสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็ลดทอนลงเนื่องจาก

ทริสเรทติ้งมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทและความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกหนี้ที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมเช่าซื้อและลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและยานยนต์รวมถึงการปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินยังเป็นปัจจัยที่กดดันความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ความสามารถในการสร้างผลกำไรที่อ่อนแอลง

ความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทได้รับการประเมินว่าอ่อนตัวลงจากระดับปานกลางเนื่องจากการปรับลดลงเป็นระยะเวลายาวนานของอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อและปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงอยู่ซึ่งทำให้ความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทลดลงไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังเห็นถึงอุปสรรคอีกหลายประการที่กีดขวางการฟื้นฟูความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทในระยะปานกลางอีกด้วย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากความสามารถในการสร้างผลกำไรที่ลดลงแล้ว ความสามารถในการแบกรับต้นทุนด้านเครดิตของบริษัทจึงลดต่ำลงตามไปด้วย

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการเพิ่มอัตราผลตอบแทนจะเป็นเรื่องท้าทายสำหรับบริษัทแม้ว่าสภาวะอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาขึ้นก็ตาม โดยเป็นผลจากการแข่งขันในด้านราคาในกลุ่มผู้ประกอบการให้บริการเช่าซื้อและลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและยานยนต์เนื่องจากผู้ประกอบการจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์จากการสนับสนุนเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำจากธนาคารซึ่งเป็นบริษัทแม่และจากสถาบันการเงินที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ การทำกำไรของบริษัทยังมีแนวโน้มที่จะลดลงจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินที่เป็นไปตามวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นซึ่งอาจส่งผลทำให้ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากสินเชื่อลดลงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย (EBT/ARWA) จะลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2% แม้จะไม่มีการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม

คุณภาพสินทรัพย์ยังคงเป็นประเด็นกังวลที่สำคัญ

หนึ่งในข้อจำกัดที่มีต่ออันดับเครดิตคือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทซึ่งเป็นปัจจัยหลักปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทลดลง เมื่อไม่นานมานี้การสร้างผลกำไรของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากจากหนี้เสียที่เกิดขึ้นในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างปี 2559-2560 และในระหว่างปี 2562-2563 จากการที่บริษัทมุ่งเน้นลูกค้าในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ผนวกกับการกระจุกตัวของสินเชื่อซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2565 ลูกหนี้รายใหญ่ 10 รายแรกของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนถึง 36% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ระดับ 13.8% (ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ) ณ สิ้นปี 2565 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 13.3% ณ สิ้นปี 2564

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอ่อนแอกว่าในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) อันเนื่องมาจากการที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมีความอ่อนไหวต่อสภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ในปี 2566 ทริสเรทติ้งมองว่าอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวมของบริษัทมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปตราบใดที่สินเชื่อดังกล่าวยังไม่ได้รับการจัดการแก้ไขเนื่องจากบริษัทยังไม่มีนโยบายตัดหนี้สูญหรือจำหน่ายหนี้เสียออกไป

เป็นบริษัทลูกเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงเทพ

บริษัทมีธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 90% และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกรุงเทพซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลแบบ Full Consolidation ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการนี้ ธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ควบคุมดูแลกลยุทธ์ทางธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัทผ่านทางคณะกรรมการของบริษัทจำนวนทั้งสิ้น 3 คนซึ่ง 2 คนเป็นกรรมการที่เป็นตัวแทนจากธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงเทพได้ให้การสนับสนุนแก่บริษัทในรูปของวงเงินกู้ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทน่าจะยังคงได้รับการสนับสนุนดังกล่าวต่อไปในอนาคตอันใกล้ ทริสเรทติ้งยังเชื่อว่าธนาคารกรุงเทพมีแนวโน้มที่จะให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษในยามที่บริษัทต้องการอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงมองว่าความเชื่อมโยงของบริษัทกับธนาคารกรุงเทพนั้นยังน้อยกว่าบริษัทลูกอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มของธนาคารกรุงเทพ

มีฐานทุนที่แข็งแรง

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าสถานะเงินทุนของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแรงต่อไปซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเงินทุนที่เพียงพอสำหรับแผนการดำเนินธุรกิจและจัดการหนี้เสียก้อนใหม่ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมซึ่งเห็นได้จากฐานทุนของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงที่มีการปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากผลกำไรสะสมที่เพิ่มเติมเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ต่ำ และสินเชื่อที่เติบโตในระดับต่ำ ทั้งนี้ ในปี 2565 อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 23.3% (ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ) จากระดับ 21.3% และ 20% ในปี 2564 และ 2563 ตามลำดับ จากผลการดำเนินงานทางการเงิน ณ สิ้นปี 2565 (ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ) บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 1.93 เท่า ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 22% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า

สถานะทางการตลาดอยู่ในระดับปานกลาง

ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าสินเชื่อรวมคงค้างของบริษัทจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 9 พันล้านบาทในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ในฐานะที่เป็นบริษัทระดับกลางที่ให้บริการเช่าซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ สัดส่วนพอร์ตสินเชื่อของสัญญาเช่าซื้อ (Hire-purchase Loan) และสัญญาเช่าการเงิน (Financial Lease) ของบริษัทค่อนข้างมีเสถียรภาพโดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับประมาณ 5-6 พันล้านบาท และ ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ระดับ 5.06 พันล้านบาท (ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ) โดยเปรียบเทียบกับระดับ 5 พันล้านบาทในปี 2564 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการขยายสินเชื่อจะเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับบริษัทเมื่อพิจารณาจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรงและสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในปัจจุบัน

การสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นช่วยทำให้บริษัทมีแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสถานะเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอ ในด้านของโครงสร้างเงินทุนนั้น บริษัทมีความไม่สอดคล้องกันในด้านของอายุเฉลี่ยของโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากบริษัทมีสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อระยะยาวในขณะที่มีการใช้เงินกู้ระยะสั้นเพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินตามนโยบายของผู้บริหารเป็นหลัก โดย ณ สิ้นปี 2565 เงินกู้ยืมทั้งหมดของบริษัทเป็นเงินกู้ระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นค่อนข้างสูงก็บรรเทาลงจากการได้รับเงินสนับสนุนที่เพียงพอในรูปของวงเงินสินเชื่อจากผู้ถือหุ้นคือธนาคารกรุงเทพและ Sumitomo Mitsui Banking Corporation (SMBC) ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องระยะสั้นของบริษัทได้ในยามจำเป็น โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนในระยะยาวนานต่อไป

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 บริษัทได้รับวงเงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงเทพจำนวน 3.2 พันล้านบาทและจาก SMBC จำนวน 2.1 พันล้านบาทซึ่งคิดเป็น 40% และ 27% ของวงเงินกู้ยืมทั้งหมดจากสถาบันการเงิน โดยธนาคารกรุงเทพได้ปรับวงเงินกู้ที่ให้แก่บริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1.2 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 หลังจากที่ธนาคารได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท

วงเงินกู้ยืมที่บริษัทยังไม่ได้เบิกใช้จากบริษัทแม่นั้นยังคงมีอยู่จำนวนมากที่ระดับ 3.5 พันล้านบาทซึ่งน่าจะเพียงพอในการรักษาสภาพคล่อง ส่วนแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ของบริษัทนั้นยังประกอบไปด้วยตั๋วแลกเงินจำนวน 415 ล้านบาทและกระแสเงินสดรับที่คาดว่าจะเข้ามาอีกเดือนละประมาณ 300-400 ล้านบาทจากการจ่ายชำระคืนของลูกหนี้ ทั้งนี้ ในสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะพึ่งพาการออกตั๋วแลกเงินมากขึ้นเพื่อช่วยประหยัดต้นทุน

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2566-2568 ดังนี้

? สินเชื่อใหม่ทั้งที่เป็นสัญญาเช่าซื้อและสัญญาเช่าการเงินจะอยู่ที่ระดับ 2 พันล้านบาทในปี 2566 และจะเติบโตที่ระดับ 5% ต่อปีหลังจากนั้น

? สัญญาเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) ใหม่ จะยังคงอยู่ที่ระดับเดิม

? อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงจะยังคงอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 22%

? ส่วนต่างผลตอบแทนโดยรวมจะอยู่ที่ระดับ 2.5% ต่อปี

? ค่าใช้จ่ายด้านเครดิตจะอยู่ที่ระดับ 3.5% ในปี 2566 และจะต่ำกว่า 1% ต่อปีหลังจากนั้น

? อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมจะยังคงอยู่ที่ระดับระหว่าง 45%-50% ต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงมีฐานทุนที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความเสียหายจากคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญได้และบริษัทจะมีผลการดำเนินงานทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือหากคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากสถานะเงินทุนของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงนั้นลดลงต่ำกว่าระดับ 15% หรือคุณภาพสินทรัพย์ รวมถึงความสามารถในการสร้างผลกำไร และสถานะทางการตลาดที่อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ หากทริสเรทติ้งเห็นว่าระดับความสำคัญของบริษัทที่มีต่อกลุ่มธนาคารกรุงเทพลดลงอย่างมีนัยสำคัญหรือการสนับสนุนจากธนาคารกรุงเทพลดน้อยลงอย่างชัดเจนก็อาจเป็นเหตุให้มีการลดอันดับเครดิตที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มลงเพื่อสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งด้วย

?

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563

บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด (BSL)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ