ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บล. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” ที่ “BBB” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 21, 2023 16:17 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LHS) ที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่มีต่อสถานะของบริษัทซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มการเงินภายใต้การนำของ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHFG) ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้น 3 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile ? SACP) ของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับ ?bb?

อันดับเครดิตเฉพาะสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจหลักทรัพย์ที่อยู่ในระดับปานกลาง ตลอดจนการพึ่งพารายได้จากเงินลงทุนในระดับสูง รวมถึงฐานทุนและความสามารถในการทำกำไรที่อยู่ในระดับปานกลาง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะความเสี่ยงตลอดจนแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทที่อยู่ในระดับเหมาะสมอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ LHFG

ทริสเรทติ้งประเมินให้สถานะของ LHS เป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ LHFG ซึ่งถือหุ้น 99.8% ในบริษัท โดย LHFG มีอำนาจควบคุมในการกำหนดนโยบายในการดำเนินธุรกิจตลอดจนการลงทุนและการบริหารความเสี่ยงของบริษัท อีกทั้งยังกำกับดูแลผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

LHFG มีพันธะสัญญาระยะยาวในการให้การสนับสนุนแก่ LHS โดยจะเห็นได้จากการเพิ่มทุนและการให้วงเงินสินเชื่อแก่บริษัทอย่างต่อเนื่องในอดีต ทั้งนี้ LHS ทำหน้าที่เป็นหน่วยธุรกิจของ LHFG Group ในการให้บริการด้านการซื้อขายหลักทรัพย์แก่ลูกค้าของกลุ่ม อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนเป้าหมายในการให้บริการธุรกิจการธนาคารที่ครบวงจรแก่ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LHBANK) อีกด้วย ในขณะที่ชื่อเสียงของบริษัทยังมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชื่อเสียงของกลุ่มจากการใช้ชื่อทางการค้าเดียวกันด้วยเช่นกัน

LHS เพิ่มความร่วมมือกับ LHBANK และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) ในการให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินแก่ลูกค้าในกลุ่ม ทั้งนี้ ในปี 2565 ทริสเรทติ้งได้เห็นพัฒนาการในเชิงบวกของความร่วมมือระหว่าง LHBANK และ LHS ผ่านการแนะนำลูกค้าของธนาคารให้แก่บริษัท โดย 40% ของลูกค้าใหม่ของบริษัทในปี 2565 มาจากการแนะนำของ LHBANK เมื่อเทียบกับระดับ 16% ในปี 2564

LHFG Group ยังมีแผนเพิ่มความร่วมมือภายในกลุ่มโดยการเสนอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมแบบบูรณาการผ่านการเชื่อมโยงช่องทางธุรกรรม (แพลตฟอร์ม) แบบดิจิทัล ซึ่งการผสานพลังและความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกันภายในกลุ่มดังกล่าวที่ส่งผลทำให้ LHS มีผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีสาระสำคัญนั้นอาจส่งผลในเชิงบวกต่อสถานะเครดิตของบริษัท

สถานะทางการตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์ยังอยู่ในระดับปานกลาง

สถานะทางธุรกิจของ LHS อยู่ในระดับปานกลาง โดยส่วนแบ่งรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 0.7% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ในขณะที่ส่วนแบ่งรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ก็ยังคงอยู่ในระดับปานกลางเช่นกันแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.8% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 จากระดับ 0.4% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 ก็ตาม

ทริสเรทติ้งมองว่าผลิตภัณฑ์และบริการที่จำกัดของ LHS อาจเป็นข้อจำกัดต่อความสามารถในการแข่งขันและการดึงดูดลูกค้าใหม่ของบริษัท

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จะค่อย ๆ ขยายตัวในระยะปานกลางจากความร่วมมือที่แข็งแกร่งมากขึ้นภายในกลุ่ม บริษัทวางแผนจะบูรณาการการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มดิจิทัลระหว่างบริษัทและแอปพลิเคชั่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ LHBANK (LHB You) เพื่อให้ลูกค้าสามารถลงชื่อเข้าใช้งานเพียงครั้งเดียวและสามารถดูภาพรวมของสินทรัพย์ทั้งหมดภายใน LHFG Group ได้ โดยแผนดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2566 ซึ่งน่าจะส่งผลให้มีการขยายฐานลูกค้าและรายได้จากลูกค้าที่ส่งต่อมาจาก LHBANK มากขึ้น

การพึ่งพารายได้จากเงินลงทุนยังคงอยู่

รายได้ของบริษัทยังคงพึ่งพารายได้เงินปันผลจากการลงทุนเป็นแหล่งรายได้หลัก ซึ่งการกระจุกตัวที่สูงดังกล่าวส่งผลในเชิงลบต่อการประเมินความมั่นคงทางธุรกิจของบริษัท ในปี 2565 รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลคิดเป็น 50% ของรายได้รวมของบริษัทโดยเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย 3 ปีของอุตสาหกรรมที่ระดับ 6% สัดส่วน 17% ของรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจสินเชื่อเพื่อการซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Business หรือ Margin Loans) ซึ่งเติบโตในอัตราเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ในระยะเวลา 3 ปีที่ระดับ 48% หรือคิดเป็น 2.2 พันล้านบาทในปี 2565

ในทางกลับกัน รายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทลดลงเหลือ 30% ในปี 2565 จาก 37% ในปี 2564 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการลดลงของปริมาณซื้อขายโดยรวมของตลาดและสัดส่วนทางการตลาดของปริมาณซื้อขายหลักทรัพย์ของ LHS ที่ลดลงเล็กน้อยเหลือ 0.49% ในปี 2565 จาก 0.57% ในปี 2564 ทั้งนี้ แหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลายมากขึ้นและสัดส่วนที่สูงขึ้นจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จะส่งผลในทางบวกต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัท

ฐานทุนจะปรับตัวดีขึ้น

สถานะเงินทุนและหนี้สินของ LHS ซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินกองทุนที่ปรับความเสี่ยงแล้ว (RAC Ratio) ลดลงเหลือ 6.1% ในปี 2565 จาก 6.8% ในปี 2564 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการขาดทุนจากการปรับมูลค่าเงินลงทุน (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน่วยลงทุน) และบางส่วนมาจากการขยายธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ทริสเรทติ้งคาดว่าการลดลงของราคาตลาดของหน่วยลงทุนจะเป็นเพียงชั่วคราวซึ่งจะทำให้ RAC Ratio ที่ปรับลดลงนั้นปรับตัวดีขึ้น ในระยะปานกลางทริสเรทติ้งคาดว่า RAC Ratio ของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นและจะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 6.5% จากการเพิ่มขึ้นของผลกำไร ตลอดจนนโยบายการจ่ายเงินปันผลแบบอนุรักษ์นิยม และการจำกัดการเพิ่มพอร์ตการลงทุน

ความสามารถในการสร้างผลกำไรปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการสร้างผลกำไร (Earnings Capacity) ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับปานกลางแต่จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยทริสเรทติ้งประมาณการอัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์ที่ปรับความเสี่ยงแล้วโดยเฉลี่ย (EBT/ARWA) ของ LHS ว่าจะอยู่ที่ระดับ 0.6% ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ในปี 2565 EBT/ARWA ของบริษัทลดลงเหลือ 0.4% จาก 0.8% ในปี 2564 เนื่องจากมีรายการตั้งสำรองเพียงครั้งเดียว หากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวนี้ EBT/ARWA ของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 0.7% ในปี 2565 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีการบริหารจัดการต้นทุนในการดำเนินงานที่ดีโดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิอยู่ที่ระดับ 36.8% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 58.6% ในการนี้ การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และความร่วมมือระหว่างกันในกลุ่มน่าจะช่วยสนับสนุนความสามารถในการสร้างผลกำไรของ LHS ได้ในระยะยาว

มีสถานะด้านความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เหมาะสม

ทริสเรทติ้งพิจารณาว่า LHS มีสถานะด้านความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เหมาะสมเนื่องจากบริษัทมีการปฏิบัติตามนโยบายการควบคุมความเสี่ยงของ LHFG ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่เป็นกลุ่มการเงินภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำจากการมีกลยุทธ์การขยายธุรกิจที่ระมัดระวัง การมีมาตรฐานการพิจารณาการให้สินเชื่อที่รอบคอบ และการมีนโยบายในการรักษาระดับหลักประกันที่เข้มงวด

อย่างไรก็ตาม LHS มีความเสี่ยงด้านการตลาดจากการที่บริษัทมีการลงทุนในหน่วยลงทุนที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แม้ในมุมมองของทริสเรทติ้งจะเห็นว่ากลยุทธ์การลงทุนโดยรวมของบริษัทค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเนื่องจากมีการถือเงินลงทุนในระยะยาวและมีรายได้เงินปันผลที่มั่นคง แต่เนื่องจากขนาดพอร์ตเงินลงทุนมีขนาดใหญ่ บริษัทจึงอาจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง อนึ่ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 เงินลงทุนรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 3.5 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทไม่มีความตั้งใจที่จะขยายพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติม

แหล่งเงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอจากการสนับสนุนของบริษัทแม่

ทริสเรทติ้งประเมินว่า LHS มีเงินทุนและสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอ เนื่องจากบริษัทเป็นบริษัทลูกของ LHFG ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทน่าจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างทันการณ์จากกลุ่ม นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับวงเงินสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจาก LHBANK อีกด้วย ซึ่ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 7 พันล้านบาท โดย 93% เป็นวงเงินสินเชื่อที่ได้รับจาก LHBANK นอกจากนี้ บริษัทยังได้ออกตั๋วแลกเงิน (B/E) มูลค่ารวม 3.5 พันล้านบาทเพื่อเสนอขายให้แก่ลูกค้าองค์กรของธนาคารอีกด้วย

บริษัทหลักทรัพย์ต้องเผชิญกับปัจจัยความเสี่ยงที่หลากหลาย

การชะลอตัวของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันในปี 2565 ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลายซึ่งทำให้กำไรของบริษัทหลักทรัพย์ลดลง 67% ในปี 2565 จากภาวะตลาดที่ย่ำแย่ ซึ่งส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนสูงและมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันชะลอตัวลงเหลือ 7.7 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับ 9.4 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ทั้งนี้ ในปี 2566 ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งทั่วไปอาจส่งผลกระทบในด้านลบต่อบริษัทหลักทรัพย์อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อก็อาจส่งผลกระทบในด้านลบต่อสภาวะและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วโลกต่อไปได้อีกด้วย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับผลการดำเนินงานบริษัทในระหว่างปี 2566-2568 มีดังนี้

? ส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.6%

? อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 0.1%

? อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิจะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 40%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่า LHS จะยังคงสถานะในการเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของ LHFG และจะยังคงได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านการเงินและ/หรือด้านการดำเนินธุรกิจจากบริษัทแม่อย่างต่อเนื่องต่อไป นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งอีกด้วยว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในขณะที่บริษัทยังคงรักษาระดับผลการดำเนินงานทางการเงินและฐานทุนที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีรายได้ประจำจากธุรกิจหลักคือธุรกิจหลักทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและมี RAC Ratio อยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 6% เป็นระยะที่ยาวนานต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญและ RAC Ratio ลดลงต่ำกว่า 3% ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2 ปี

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการทบทวนใหม่หากมุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับสถานภาพของบริษัทที่มีต่อ LHFG นั้นเปลี่ยนแปลงไป การปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากการสนับสนุนจากทางกลุ่มก็มีความเป็นไปได้หากมีพยานหลักฐานในการสนับสนุนจาก CTBC Bank Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ LHFG ที่ส่งผ่านโดยตรงไปยัง LHS หรือมีบูรณาการของความร่วมมือในเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงานระหว่าง CTBC Bank และ LHS

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- Securities Company Rating Methodology, 9 เมษายน 2563

บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LHS)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ