ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “บ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” ที่ “BBB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 9, 2023 14:19 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่ทริสเรทติ้งประเมินให้เป็นบริษัทลูกหลัก (Core Subsidiary) ของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิต ?BBB+/Stable?) ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้ง ในการนี้ ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile ? SACP) ของบริษัทที่ระดับ ?bbb+? ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพที่ดีของกลุ่มสินทรัพย์โรงแรมของบริษัทที่มีความหลากหลายในเชิงภูมิศาสตร์และการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะลดลงเนื่องจากผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นบริษัทลูกหลักของบริษัทสิงห์ เอสเตท

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทเป็นบริษัทลูกหลักของบริษัทสิงห์ เอสเตท ทั้งนี้ เนื่องจากทริสเรทติ้งพิจารณาเห็นว่าบริษัทเป็นส่วนหลักที่สำคัญในกลยุทธ์ของบริษัทแม่ โดยบริษัทสิงห์ เอสเตท มีอำนาจควบคุมกลยุทธ์ทางธุรกิจและนโยบายทางการเงินของบริษัทโดยผ่านทางคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูง ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์ของ ?กลุ่มสิงห์เอสเตท? ในการขยายธุรกิจโรงแรมต่อไป นอกจากนี้ บริษัทยังสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของ EBITDA รวมของบริษัทสิงห์ เอสเตท อีกด้วย

สินทรัพย์โรงแรมมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์

สินทรัพย์โรงแรมของบริษัทนั้นมีความหลากหลายในทางภูมิศาสตร์โดยบริษัทมีโรงแรมทั้งในประเทศไทย ประเทศมัลดีฟส์ ประเทศฟิจิ ประเทศมอริเชียส และในสหราชอาณาจักร สินทรัพย์โรงแรมของบริษัทประกอบด้วยโรงแรมทั้งสิ้น 38 แห่งซึ่งคิดเป็นจำนวนห้องรวม 4,552 ห้อง โรงแรมของบริษัทในประเทศไทยตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น จังหวัดภูเก็ต เกาะพีพี และเกาะสมุย ส่วนในประเทศมัลดีฟส์นั้นบริษัทกำลังพัฒนาโครงการ ?CROSSROADS? ซึ่งประกอบด้วยโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 2 แห่ง โรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 1 แห่ง และพื้นที่ค้าปลีกอีก 1 แห่ง โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและสามารถเดินทางได้สะดวกจากสนามบินนานาชาติมาเล่ (Male International Airport) สำหรับโรงแรมของบริษัทในสหราชอาณาจักรนั้นเป็นโรงแรมในเมืองระดับกลางค่อนไปทางสูง (Upper-midscale) ที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวและเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ บริษัทยังมีรีสอร์ทอีก 2 แห่งในประเทศฟิจิและอีก 1 แห่งในประเทศมอริเชียสด้วย ในปี 2565 โรงแรมในสหราชอาณาจักรมีรายได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท และโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์มีรายได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ในขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือมาจากโรงแรมในประเทศไทย ประเทศฟิจิ และประเทศมอริเชียส

บริษัทใช้รูปแบบการบริหารโรงแรมที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะกับโรงแรมในพื้นที่แต่ละแห่ง โดยบริษัทมีทั้งโรงแรมที่บริษัทบริหารเองภายใต้แบรนด์ของตนเองซึ่งมีข้อได้เปรียบในด้านการมีอัตรากำไรที่สูงกว่าและมีความยืดหยุ่นในการบริหารที่มากกว่า บริษัทยังมีโรงแรมที่บริษัทบริหารเองภายใต้สัญญาแฟรนไชส์ซึ่งได้ประโยชน์จากช่องทางการจัดจำหน่ายของแบรนด์ระดับโลกที่ช่วยให้โรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่เป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บริษัทยังมีโรงแรมที่บริหารโดยเครือโรงแรมระดับโลกหรือจ้างผู้ประกอบการโรงแรมภายนอกมาบริหารซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ทรัพยากรของบริษัทน้อยกว่าและเหมาะสำหรับโรงแรมที่อยู่ไกลจากประเทศไทยอีกด้วย

มีแผนจะยกระดับและขยายสินทรัพย์โรงแรม

บริษัทมีแผนจะปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพของโรงแรมทั้งหมดของบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ในระหว่างการปรับปรุง ?Outrigger Fiji Beach Hotel? โดยมีการทยอยปิดพื้นที่บางส่วนเพื่อปรับปรุงในขณะที่ยังคงเปิดให้บริการในส่วนที่เหลือตามปกติ ทั้งนี้ การปรับปรุงคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรของโรงแรมในสหราชอาณาจักรโดยการขายโรงแรมที่มีผลการดำเนินงานต่ำและนำเงินที่ได้ไปใช้ปรับปรุงโรงแรมที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ดีกว่าแทน ในขณะเดียวกันบริษัทยังพิจารณาที่จะเปลี่ยนแบรนด์และปรับปรุงตำแหน่งทางการตลาดของโรงแรมบางแห่งที่มีศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในระดับที่สูงขึ้นอีกด้วย

บริษัทวางแผนจะขยายสินทรัพย์โรงแรมของบริษัทโดยผ่านการซื้อกิจการโรงแรมที่ดำเนินการแล้วเป็นหลักและเน้นที่โรงแรมระดับกลางค่อนไปทางสูง (Upper Midscale) ไปจนถึงโรงแรมระดับหรู (Luxury) ในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนต่าง ๆ ทั้งนี้ กลยุทธ์การขยายสินทรัพย์โรงแรมของบริษัทนั้นคำนึงถึงความหลากหลายในทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนระดับทางการตลาด และฐานลูกค้า ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้งบประมาณที่จำนวน 2.1 พันล้านบาทในการปรับปรุงโรงแรมในช่วงระหว่างปี 2566-2568 และคาดว่าจะใช้งบประมาณสำหรับการซื้อกิจการโรงแรมที่จำนวน 2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568

ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจในรูปแบบการเป็นเจ้าของโรงแรมซึ่งต้องใช้เงินทุนสูง ในอนาคตบริษัทมีแผนจะปรับเปลี่ยนธุรกิจโรงแรมไปในทิศทางที่ใช้เงินลงทุนน้อยลงให้มากขึ้นโดยบริษัทอาจใช้แบรนด์ของบริษัทเองคือ ?ทราย? (SAii) เพื่อให้บริการบริหารจัดการโรงแรมแก่บุคคลภายนอก หรือโดยการหาพันธมิตรร่วมลงทุนในสินทรัพย์โรงแรมและบริษัททำหน้าที่เป็นผู้บริหารโรงแรม ทริสเรทติ้งมองว่าหากบริษัทประสบความสำเร็จในการสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจในรูปแบบที่ใช้เงินลงทุนน้อยลงก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานะทางธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

คาดว่าผลการดำเนินงานโรงแรมจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2566-2567 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเปิดประเทศของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราการเข้าพักโรงแรม (Occupancy Rate ? OR) โดยรวมของบริษัทจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประมาณ 70% ในปี 2566 และที่ระดับ 72%-73% ในระหว่างปี 2567-2568 และอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate ? ADR) จะเพิ่มขึ้น 5% ในปี 2566 และ 2% ต่อปีในระหว่างปี 2567-2568 ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (Revenue per Available Room -- RevPAR) ในภาพรวมในปี 2566 ก็น่าจะฟื้นตัวใกล้เคียงกับหรือดีกว่าระดับก่อนช่วงเกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) เล็กน้อยและจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าระดับดังกล่าวในปี 2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะซื้อกิจการโรงแรมที่สร้างรายได้เพิ่มเติมได้ทันทีในช่วงปี 2567-2568 ดังนั้น รายได้ของบริษัทจึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.04 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และเป็น 1.14-1.25 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568

ผลการดำเนินงานของโรงแรมของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2565 เนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่คลี่คลายลงและจากการที่รัฐบาลค่อย ๆ ผ่อนปรนการจำกัดการเดินทาง ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 8.7 พันล้านบาทในปี 2565 จาก 4.6 พันล้านบาทในปี 2564 ในขณะที่ OR โดยรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 60% จากประมาณ 40% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยโรงแรมในประเทศฟิจิในปี 2565 มี RevPAR ฟื้นตัวดีขึ้นกว่าระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19 ส่วนโรงแรมในสหราชอาณาจักรในปี 2565 ก็มี RevPAR สูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19 ด้วยเช่นกันอันเนื่องมาจากราคาห้องพักเฉลี่ยที่สูงขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงสินทรัพย์โรงแรมและการขึ้นราคาค่าห้องพักเพื่อส่งผ่านต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น โรงแรมในประเทศมัลดีฟส์มี OR ที่ดีขึ้นเป็น 66% ในปี 2565 จาก 58% ในปี 2564 และมี ADR เพิ่มขึ้นเป็น 14,100 บาทในปี 2565 จาก 10,200 บาทในปี 2564 ในขณะที่โรงแรมในประเทศไทยและมอริเชียสมี RevPAR อยู่ที่ระดับประมาณ 60%-80% ของระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19

ภาระหนี้สินทางการเงินอยู่ในระดับสูงแต่กำลังลดลง

ภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2565 เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายธุรกิจโรงแรมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในขณะที่ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากผลกระทบของโรคโควิด 19 ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 7.2 เท่าในปี 2565 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงาน (FFO) ต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 7.9%

ทริสเรทติ้งคาดว่าหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะทยอยลดลงเนื่องจากกระแสเงินสดฟื้นตัวดีขึ้นแม้ว่าบริษัทจะมีการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 4.8 เท่าในปี 2568 จาก 5.6 เท่าในปี 2566 และอัตราส่วน FFO ต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 13.9% ในปี 2568 จาก 11% ในปี 2566 ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในช่วง 2.5-3.2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 จาก 2.0 พันล้านบาทในปี 2565 และคาดว่าบริษัทจะมีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นจำนวน 1.2 พันล้านบาทในปี 2566 จำนวน 2.6 พันล้านบาทในปี 2567 และจำนวน 2.4 พันล้านบาทในปี 2568

เงื่อนไขทางการเงินที่สำคัญของเงินกู้ยืมของบริษัทกำหนดให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนต่ำกว่า 1.5 เท่า โดย ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.66 เท่า

ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีหนี้สินรวมอยู่ที่จำนวน 1.31 หมื่นล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวประมาณ 1.24 หมื่นล้านบาทเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อย ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 95% ซึ่งเกินกว่าระดับ 50% ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้? ของทริสเรทติ้ง ดังนั้น เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจึงมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท

สภาพคล่องที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอ โดยแหล่งเงินทุนของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2565 ประกอบด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 2.5 พันล้านบาทและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 1 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่จำนวน 1.5 พันล้านบาทในปี 2566 ในขณะที่การใช้เงินทุนจะประกอบด้วยการชำระหนี้เงินกู้ที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 1.7 พันล้านบาทและเงินลงทุนซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 1.2 พันล้านบาท

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงระยะเวลา 3 ปีตั้งแต่ปี 2566-2568 มีดังนี้

? รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1.04 หมื่นล้านบาทในปี 2566 จำนวน 1.14 หมื่นล้านบาทในปี 2567 และจำนวน 1.25 หมื่นล้านบาทในปี 2568

? EBITDA Margin จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงระหว่าง 24%-25% ในช่วงเวลาประมาณการ

? เงินลงทุนจะอยู่ที่จำนวน 1.2 พันล้านบาทในปี 2566 จำนวน 2.6 พันล้านบาทในปี 2567 และจำนวน 2.4 พันล้านบาทในปี 2568

?

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ "คงที่" ของบริษัทสะท้อนถึงแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทสิงห์ เอสเตท และความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะในการเป็น "บริษัทลูกหลัก" ในกลุ่มสิงห์เอสเตทต่อไปแม้ว่าบริษัทสิงห์ เอสเตท จะขยายธุรกิจไปในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรมก็ตาม

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงที่มีสาระสำคัญของสถานะเครดิตของบริษัทสิงห์ เอสเตท หรือการที่ทริสเรทติ้งเปลี่ยนแปลงการประเมินสถานะของบริษัทที่มีกลุ่มสิงห์เอสเตทอาจส่งผลต่ออันดับเครดิตของบริษัท

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (SHR)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ