ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” เป็น “A-” จาก “A”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 24, 2023 20:11 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ?A-? จากระดับ ?A? ในขณะเดียวกันยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? จาก ?Negative? หรือ ?ลบ? ด้วย

การปรับลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนต่าง ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในขณะที่แผนการลดภาระหนี้ของบริษัทนั้นใช้เวลานานกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้

การเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (Operating and Maintenance -- O&M) ตามสัญญาและการฟื้นตัวของธุรกิจสื่อโฆษณา (Media Business) หลังจากผ่านพ้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าความเป็นไปได้ในการลงทุนในสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบริษัทจะล่าช้ายิ่งขึ้นเนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสัญญาสัมปทานดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ทริสเรทติ้งได้รวมผลกระทบที่จะมีต่อภาระหนี้ของบริษัทซึ่งอาจเกิดจากการได้รับสัญญาสัมปทานใหม่ไว้ในการพิจารณาแนวโน้มอันดับเครดิตที่เป็น ?Negative? หรือ ?ลบ? ด้วย

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งซึ่งเป็นผลมาจากการมีรายได้ค่าบริการที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า ตลอดจนกระแสเงินสดรับจำนวนมากจากการลงทุนในสัดส่วน 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และการมีสถานะที่มั่นคงในธุรกิจสื่อโฆษณา

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ภาระหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูงแต่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงเวลาประมาณการ

ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการระบบขนส่งมวลชนและการซื้อกิจการของ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (JMART) และ บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) (TNL) ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ซึ่งรวมภาระหนี้ที่ใช้เป็นเงินทุนสำหรับลูกหนี้ค้างรับจากกรุงเทพมหานครของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 17.3 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลังแล้ว) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2566 (1 เมษายน-31 ธันวาคม 2565) เมื่อเทียบกับระดับ 16.3 เท่าในปีบัญชี 2565 โดยเมื่อได้มีการปรับปรุงบัญชีลูกหนี้ค้างรับจากกรุงเทพมหานครออกจากภาระหนี้และรายได้ดอกเบี้ยจากลูกหนี้ค้างรับดังกล่าวออกจาก EBITDA แล้ว อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทที่ปรับปรุงแล้วจึงอยู่ที่ระดับ 13.8 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลังแล้ว) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2566 และอยู่ที่ระดับ 13.2 เท่าในปีบัญชี 2565 ตามลำดับ ก่อนหน้านี้ ทริสเรทติ้งได้รวมดอกเบี้ยรับที่เกี่ยวข้องกับโครงการระบบขนส่งมวลชนเป็น EBITDA ของบริษัท ในครั้งนี้ ทริสเรทติ้งได้ปรับมุมมองดังกล่าวให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของทริสเรทติ้งมากยิ่งขึ้นโดยการไม่รวมดอกเบี้ยรับดังกล่าวเป็น EBITDA ของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมีการดำเนินการลดภาระหนี้ทั้งด้วยวิธีการเพิ่มทุนใหม่ในบริษัทย่อยและการขายเงินลงทุนบางส่วนออกไป

ในช่วงระหว่างปีบัญชี 2566-2569 บริษัทมีแผนการลงทุนที่จำนวนประมาณ 2.98 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง กรุงเทพมหานครน่าจะชำระค่าบริการงานจัดหาและติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (Electrical and Mechanical (E&M) Work) สำหรับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้และส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือรวมถึงค่าจ้างในการให้บริการ O&M ที่ค้างอยู่ให้แก่บริษัทได้ในปี 2567 ทริสเรทติ้งประเมินว่า EBITDA ที่มาจากการดำเนินงานหลักของบริษัทซึ่งไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยรับจากงานโยธาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองและรายได้ดอกเบี้ยรับที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้การค้าของกรุงเทพมหานคร จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นประมาณ 7.3 พันล้านบาทในปีบัญชี 2569 จากประมาณ 4.3 พันล้านบาทในปีบัญชี 2566

รายได้ที่คาดการณ์ได้เพิ่มสูงขึ้นจากการให้บริการ O&M

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกระแสเงินสดจากการให้บริการ O&M ของบริษัทจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงผ่านบริษัทลูกคือ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTS) โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2566 รายได้จากการให้บริการดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 5.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 4.6 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีบัญชี 2565 เนื่องจากอัตราค่าบริการส่วนใหญ่ถูกกำหนดแบบตายตัวไว้แล้วในสัญญา ดังนั้น รายได้จากการให้บริการ O&M จึงสามารถคาดการณ์ได้ในระดับสูงและไม่มีความเสี่ยงจากจำนวนผู้โดยสาร (Ridership Risk) ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการให้บริการ O&M ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.6 พันล้านบาทในปีบัญชี 2569

รถไฟฟ้ารางเดี่ยว 2 โครงการจะเปิดให้บริการเต็มเส้นทางในปี 2566

บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทร่วมทุน 2 แห่งร่วมกับผู้ร่วมทุนเพื่อลงทุนและดำเนินโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว 2 โครงการ (โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง) ภายใต้สัญญาสัมปทานในรูปแบบเอกชนได้รับสิทธิ์ในการจัดเก็บรายได้ (Public Private Partnership (PPP)-Net Cost Concessions) ที่ได้ลงนามไปเมื่อปี 2560 ภายใต้สัญญาสัมปทานดังกล่าว บริษัทร่วมทุนจะลงทุนในส่วนของงาน E&M สำหรับรถไฟฟ้ารางเดี่ยวเพื่อแลกกับรายได้จากผู้โดยสารรวมถึงรายได้จากสื่อโฆษณาและการพาณิชย์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าโครงการทั้งสองจะเปิดให้บริการเต็มเส้นทางได้ในปี 2566 ซึ่งเลื่อนมาจากปี 2565 เนื่องจากการก่อสร้างที่ล่าช้าจากผลของมาตรการปิดเมือง (Lockdown) เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในการนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารถไฟฟ้ารางเดี่ยวแต่ละสายจะมีรายได้ประมาณ 1.9 พันล้านบาทในช่วงปีบัญชี 2569

กระแสเงินสดของ BTSGIF จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เนื่องจากภาครัฐได้ดำเนินนโยบายในการกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ ส่งผลให้กระแสเงินสดจาก BTSGIF ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นเป็น 588 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2566 เมื่อเทียบกับ 95 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีบัญชีที่ผ่านมา ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่ากระแสเงินสดจาก BTSGIF จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านบาทในปีบัญชี 2569 ตามการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า

คาดว่ารายได้จากธุรกิจ MIX Business จะปรับตัวเพิ่มขึ้น

จากส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Offline to Online (O2O) บริษัทได้เปลี่ยนธุรกิจสื่อโฆษณามาเป็นการให้บริการทางการตลาดในหลากหลายช่องทาง ซึ่งปัจจุบันคือธุรกิจ MIX Business อันประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจ 3 ประเภทคือ กลุ่มสื่อ (Media) กลุ่มจัดจำหน่าย (Distribution) และกลุ่มบริการด้านดิจิทัล (Digital Services) โดยกลุ่มสื่อนั้นประกอบไปด้วยการให้บริการสื่อโฆษณาในขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอสและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสรวมถึงการให้บริการสื่อโฆษณานอกบ้าน (Out-of-home (OOH) Media) ในรูปแบบอื่น ๆ ส่วนกลุ่มจัดจำหน่ายนั้นประกอบด้วยช่องทางการค้า O2O (ทั้งร้านค้าปลีกแบบเดิมและช่องทางออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซ) ซึ่งรวมถึงพื้นที่ค้าปลีกและให้เช่า ส่วนกลุ่มบริการด้านดิจิทัลนั้นประกอบด้วยการให้บริการตัวแทนประกันภัยทางออนไลน์ (E-brokerage) บริการให้กู้ยืมแบบดิจิทัล (Digital Lending Service) และการสะสมคะแนน (Loyalty Program) โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บริการทางการตลาดแก่ลูกค้าได้อย่างครบวงจร ผ่านการทำการตลาดของบริษัทได้ทุกช่องทางเพื่อ โฆษณา จำหน่ายสินค้า หรือให้บริการแก่ผู้บริโภค โดยการขยายช่องทางการตลาดจะช่วยเพิ่มฐานรายได้และผสานพลังทั้งในด้านการจัดจำหน่ายร่วมกัน (Cross-selling) และการรวมฐานข้อมูลของผู้บริโภค

ในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2566 รายได้จาก MIX Business ของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 21% จากช่วงเดียวกันของปีบัญชีที่ผ่านมาเนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจสื่อโฆษณาเป็นหลักซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าและการใช้จ่ายงบโฆษณาที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการต่าง ๆ ทั้งสื่อโฆษณาในขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอสและสื่อโฆษณานอกบ้านในรูปแบบอื่น ๆ หลังจากที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 บรรเทาลง ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จาก MIX Business จะฟื้นตัวกลับมาที่ประมาณ 17% ในปีบัญชี 2567 ประมาณ 14% ในปีบัญชี 2568 และประมาณ 7% ในปีบัญชี 2569 ตามการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมโฆษณาจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทจะได้รับสิทธิ์ในการบริหารพื้นที่โฆษณาและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานีใหม่ ๆ ของโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายสายสีเขียว สายสีชมพู และสายสีเหลืองอีกด้วย โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากกลุ่มจัดจำหน่ายและกลุ่มให้บริการดิจิทัลจะเพิ่มขึ้น 5% ต่อปีในช่วงเวลาประมาณการ

สถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนธันวาคม 2565 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 1.58 หมื่นล้านบาทและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 3.1 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกจำนวน 2.03 หมื่นล้านบาทด้วย โดยในช่วง 12 เดือนข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวนประมาณ 3.7 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งเชื่อว่าแหล่งเงินทุนดังกล่าวจะเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ของบริษัทซึ่งประกอบด้วยภาระหนี้เงินกู้ระยะยาวในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 1.27 หมื่นล้านบาทและหนี้ระยะสั้นจำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะได้รับวงเงินกู้ยืมใหม่เพื่อทดแทนวงเงินกู้ยืมระยะสั้นเดิม และในปีบัญชี 2567 นั้นบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายลงทุนจำนวนประมาณ 1.27 หมื่นล้านบาทซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่จะมาจากเงินกู้โครงการ

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทไม่น่าจะมีปัญหาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า โดยข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวมีเงื่อนไขให้บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับต่ำกว่า 2.5 เท่า ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.43 เท่า

ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีหนี้สินที่เกิดจากภาระดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้นจำนวน 1.31 แสนล้านบาทซึ่งรวมถึงหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนที่จำนวน 3.8 หมื่นล้านบาท โดยหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนนั้นเป็นทั้งหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อย ในการนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมที่ระดับ 29%

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้จากการให้บริการ O&M จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.6 พันล้านบาทในปีบัญชี 2569 จากประมาณ 6.3 พันล้านบาทในปีบัญชี 2565

? บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองในปีบัญชี 2569 ที่ประมาณ 1.9 พันล้านบาทสำหรับแต่ละเส้นทาง

? รายได้จาก Mix Business จะเพิ่มขึ้น 13% ในปีบัญชี 2566 และจะเพิ่มขึ้นประมาณ 17% ในปีบัญชี 2567 ประมาณ 14% ในปีบัญชี 2568 และประมาณ 7% ในปีบัญชี 2569

? ในช่วงปีบัญชี 2566-2569 บริษัทจะรับรู้รายได้ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทจากการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง

? อัตรา EBITDA ต่อรายได้จะอยู่ระหว่าง 35%-55%

? งบลงทุนรวมทั้งหมดคาดว่าจะอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้นราว ๆ 2.98 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาประมาณการ

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการ O&M และการฟื้นตัวของธุรกิจสื่อโฆษณา ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งที่กรุงเทพมหานครจะจ่ายคืนหนี้ที่ค้างอยู่ให้แก่บริษัทในอนาคตอันใกล้อีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องซึ่งอาจเป็นผลมาจากการดำเนินงานของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมากหรือภาระหนี้ของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 11 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องซึ่งอาจเป็นผลมาจากการลงทุนเพิ่มเติมที่ใช้เงินกู้จำนวนมากหรือผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BTS)

อันดับเครดิตองค์กร: A-

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

BTSG239A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,290 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

BTSG23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

BTSG245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

BTSG247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

BTSG24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,591 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

BTSG24NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,091.2 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

BTSG255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

BTSG25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

BTSG265A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

BTSG267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

BTSG275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

BTSG275B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,853.9 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

BTSG275C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,951.8 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

BTSG27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

BTSG27DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

BTSG289A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,660 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-

BTSG295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A-

BTSG295B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A-

BTSG29DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A-

BTSG305A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1941.1 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A-

BTSG305B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1716.8 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A-

BTSG30NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A-

BTSG317A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 8,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A-

BTSG325A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A-

BTSG32NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,614 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A-

BTSG32NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,240.2 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ