ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล” ที่ “BBB-”, แนวโน้ม “Positive”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 20, 2023 10:52 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (ทรัสต์ฯ) ที่ระดับ ?BBB-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Positive? หรือ ?บวก? ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงของทรัสต์ฯ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีของกรุงเทพฯ และผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังภาวะโรคระบาด ในขณะที่อันดับเครดิตถูกลดทอนจากภาระหนี้ของทรัสต์ฯ ที่อยู่ในระดับสูงและสินทรัพย์ที่มีขนาดเล็กซึ่งกระจุกตัวอยู่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ เท่านั้น

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Positive? หรือ ?บวก? สะท้อนถึงโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในกรณีที่ทรัสต์ฯ ประสบความสำเร็จในการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์อีก 2 แห่งในพัทยาและทรัสต์ฯ มีการเพิ่มทุนใหม่เพื่อใช้ในการลงทุนดังกล่าวบางส่วนตามแผน โดยสินทรัพย์ใหม่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ทรัสต์ฯ ด้วยกระแสเงินสดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีแหล่งที่มาที่หลากหลายขึ้น

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผลการดำเนินงานของโรงแรมที่แข็งแกร่งในช่วงหลังโรคระบาด

หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ผลการดำเนินงานของโรงแรมของทรัสต์ฯ ก็เริ่มฟื้นตัวตามการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางและการเปิดประเทศของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (Revenue per Available Room -- RevPAR) ซึ่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าบริการ และอาหารเช้าของโรงแรมทั้ง 3 แห่งของทรัสต์ฯ ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งโดยมีปัจจัยขับเคลื่อนทั้งในส่วนของอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate ? OR) และราคาห้องพักมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2566 หลังจากการปรับปรุงผลกระทบจากการเปลี่ยนวิธีรับรู้รายได้แล้ว RevPAR ของ ?โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21? (TM21) และ ?โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ราชดำริ? (RD) ก็เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดที่ระดับ 5%-10% ในขณะที่ RevPAR ของ ?โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55? (S55) ก็ฟื้นคืนกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด

ในอนาคตข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากคุณภาพของทรัพย์สินและทำเลที่ตั้งแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าโรงแรมทั้ง 3 แห่งจะยังคงสามารถรักษาอัตราราคาห้องพักที่สูงได้ต่อไปในขณะที่ยังคงอัตราการเข้าพักในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งมองว่าอนาคตการท่องเที่ยวของไทยยังมีแนวโน้มที่ดีโดยมีปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวจีน ทั้งนี้ ในปี 2566 ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า RevPAR ของโรงแรม TM21 จะอยู่ที่ประมาณ 3,900 บาทต่อห้องต่อคืน ในขณะที่ RevPAR ของโรงแรม RD จะอยู่ที่ประมาณ 3,300 บาทต่อห้องต่อคืน ส่วน RevPAR ของโรงแรม S55 จะอยู่ที่ประมาณ 2,715 บาทต่อห้องต่อคืน และจะเพิ่มขึ้นในระดับ 1%-4% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568 อีกด้วย

การลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ ๆ จะทำให้สถานะของทรัสต์ฯ เข้มแข็งขึ้น

แผนการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ใหม่ 2 แห่งซึ่งได้แก่ ?โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา? (PTY) และ ?โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา? (SPT) จะช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวและการพึ่งพาการท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ลงได้ โดยโรงแรมทั้ง 3 แห่งของทรัสต์ฯ ในปัจจุบันล้วนอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และเน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในขณะที่โรงแรมใหม่ทั้ง 2 แห่งอยู่ในเขตพัทยาและรองรับทั้งนักท่องเที่ยวภายในประเทศและต่างชาติ และยังมีโอกาสในการขายโรงแรม (Cross-selling) สำหรับแขกที่วางแผนจะมาท่องเที่ยวทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยาด้วย ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการลงทุนเพิ่มในครั้งนี้จะเพิ่มรายได้ค่าเช่าอีก 85% ของค่าเช่ารวมในปัจจุบันให้แก่รายได้ค่าเช่าโดยรวมของทรัสต์ฯ ในปี 2567

โรงแรม PTY เปิดดำเนินการในปี 2561 โดยมีห้องพักจำนวน 396 ห้อง ทั้งนี้ หลังจากผ่านพ้นสถานการณ์โรคระบาด ผลการดำเนินงานของโรงแรมก็ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยในไตรมาสแรกของปี 2566 RevPAR ของโรงแรมอยู่ที่ 3,398 บาทต่อห้องต่อคืน ถือว่าสูงกว่าในช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งหลังจากการปรับปรุงผลกระทบจากการเปลี่ยนวิธีรับรู้รายได้แล้วอยู่ที่ระดับ 5%-10% ทั้งนี้ ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า RevPAR ของโรงแรม PTY จะอยู่ที่ประมาณ 3,100-3,200 บาทต่อห้องต่อคืนในระหว่างปี 2567-2568

โรงแรม SPT เปิดดำเนินการในปี 2565 โดยมีห้องพักจำนวน 490 ห้องและศูนย์การประชุมแบบครบวงจร แม้ว่าจะเพิ่งเปิดดำเนินงานและยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่โรงแรมก็มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจด้วยอัตราการเข้าพักที่สูงกว่า 90% มาตั้งแต่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 โดย RevPAR ของโรงแรมอยู่ที่ 4,869 บาทต่อห้องต่อคืนในไตรมาสแรกของปี 2566 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า RevPAR ของโรงแรมจะอยู่ที่ 4,800-5,000 บาทต่อห้องต่อคืนในระหว่างปี 2567-2568

นอกเหนือจากโรงแรมทั้ง 2 แห่งนี้แล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ จะลงทุนในสินทรัพย์ใหม่เป็นประจำในทุก 2-3 ปี โดยสินทรัพย์ใหม่เหล่านี้จะมาจากสปอนเซอร์คือ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH) หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกันเป็นหลัก ขนาดที่เติบโตขึ้นของสินทรัพย์ที่มีคุณภาพจะช่วยสร้างรายได้ค่าเช่าให้มากขึ้นและยังจะช่วยเพิ่มความหลากหลายของแหล่งที่มาของกระแสเงินสดให้แก่ทรัสต์ฯ มากยิ่งขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ค่าเช่าคงที่มีแนวโน้มที่จะเป็นสัดส่วนต่อค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับทั้งหมดลดลง

จากการที่กฎระเบียบที่เกี่ยวกับทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ห้ามไม่ให้ทรัสต์ฯ นั้นๆ ดำเนินการบริหารโรงแรมเอง ทรัสต์ฯ จึงให้เช่าช่วงโรงแรมแก่ บริษัท แอล แอนด์ เอช โฮเทล แมเนจเมนท์ จำกัด (LHH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ LH โดย LHH มีหน้าที่จะต้องจ่ายค่าเช่าคงที่และค่าเช่าผันแปรให้แก่ทรัสต์ฯ โดยก่อนที่กฎระเบียบดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงในปี 2563 ทรัสต์ฯ จะต้องมีโครงสร้างค่าเช่าที่ค่าเช่าผันแปรจะมีสัดส่วนไม่เกิน 50% ของค่าเช่าคงที่ ในปัจจุบันโครงสร้างค่าเช่าของสินทรัพย์ของทรัสต์ฯ ยังเป็นไปตามกฎระเบียบเดิมเมื่อตอนที่ทรัสต์ฯ เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าช่วง

สำหรับโรงแรม 3 แห่งของทรัสต์ฯ ในกรุงเทพฯ นั้น รายได้ค่าเช่าซึ่งเป็นรายได้คงที่ของทรัสต์ฯ จะได้รับการปรับปรุงในแต่ละปีโดยขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานจริงของโรงแรมแต่ละแห่งและขึ้นอยู่กับค่าเช่าคงที่ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าช่วงที่ลงนามไว้ตั้งแต่แรก สำหรับค่าเช่าผันแปรนั้นจะอยู่ที่ระดับ 85% ของผลการดำเนินงานที่ทำได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงแรมและค่าเช่าคงที่แล้ว วัตถุประสงค์หลักคือการปรับปรุงค่าเช่าคงที่ในแต่ละปีเพื่อให้ค่าเช่าผันแปรมีสัดส่วนไม่เกิน 50% ของค่าเช่าคงที่ ทั้งนี้ สัญญาเช่าช่วงของโรงแรมแต่ละแห่งมีกำหนดเวลาคราวละ 3 ปีโดยที่ทรัสต์ฯ มีสิทธิ์ต่ออายุสัญญาได้อีก 2 ครั้ง (3 ครั้งสำหรับโรงแรม S55) ภายหลังจากสัญญาเช่าช่วงคราวแรกหมดอายุ ซึ่งการต่อสัญญาหลังจากระยะเวลาดังกล่าวก็มีความเป็นไปได้ที่โครงสร้างค่าเช่าจะมีการเจรจาใหม่

สำหรับโรงแรม 2 แห่งที่ทรัสต์ฯ จะลงทุนนั้น ค่าเช่าคงที่ตั้งต้นจะถูกกำหนดให้อยู่ที่ประมาณ 50% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่คาดว่าโรงแรมจะทำได้ สำหรับโรงแรม PTY นั้น ค่าเช่าคงที่จะเริ่มต้นที่ 136 ล้านบาทต่อปีและจะปรับเพิ่มขึ้น 2% ทุก ๆ 3 ปี ส่วนโรงแรม SPT นั้น ค่าเช่าคงที่จะเริ่มต้นที่ 270 ล้านบาทต่อปีและจะปรับเพิ่มขึ้น 2% ทุก ๆ 3 ปี ส่วนค่าเช่าผันแปรของโรงแรมทั้ง 2 แห่งนั้นจะอยู่ที่ระดับ 90% ของผลการดำเนินงานที่ทำได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงแรมและค่าเช่าคงที่แล้ว

การที่ทรัสต์ฯ ให้ LHH เช่าช่วงจะทำให้ทรัสต์ฯ ไม่ต้องรับผลกระทบโดยตรงในกรณีที่เกิดภาวะการดำเนินงานไม่พึงประสงค์ทำให้โรงแรมมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนเนื่องจากผู้เช่าช่วงจะเป็นผู้รับผลขาดทุนดังกล่าว ในภาวะปกติของการดำเนินงานนั้น การกำหนดค่าเช่าคงที่จะเป็นประโยชน์ต่อทรัสต์ฯ เนื่องจากเป็นการกำหนดรายได้ค่าเช่าขั้นต่ำที่ทรัสต์ฯ จะได้รับ แต่ประโยชน์จากการป้องกันความเสี่ยงขาลงดังกล่าวจะลดลงในกรณีที่สัดส่วนของรายได้ค่าเช่าคงที่ลดลงในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขในสัญญาเช่าที่ครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ที่ไม่ปกติต่าง ๆ ด้วย เช่น ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย สัญญาก็อนุญาตให้ผู้เช่าช่วงสามารถเลื่อนหรือยกเว้นการชำระค่าเช่าคงที่และค่าเช่าผันแปรให้แก่ทรัสต์ฯ ออกไปได้ โดยหากเข้าเงื่อนไขอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าช่วง เมื่อรายได้ค่าห้องพักในเดือนที่ได้รับผลกระทบลดลงต่ำกว่ารายได้ค่าห้องพักในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ระดับ 20%-50% ผู้เช่าช่วงก็อาจเลื่อนการชำระค่าเช่าในเดือนที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวออกไปได้ และหากรายได้ค่าห้องพักในเดือนที่ได้รับผลกระทบลดลงต่ำกว่ารายได้ค่าห้องพักในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าเกินกว่า 50% ผู้เช่าช่วงก็สามารถยกเว้นการชำระค่าเช่าให้แก่ทรัสต์ฯ ในเดือนที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้ มีความเป็นไปได้ที่เหตุสุดวิสัยยังคงดำเนินอยู่และเข้าข่ายที่ผู้เช่าช่วงสามารถยกเว้นการชำระค่าเช่าให้แก่ทรัสต์ฯ ทรัสต์ฯ ก็อาจจะไม่ได้รับค่าเช่าในบางเดือนแม้ว่าโรงแรมที่ทรัสต์ฯ เป็นเจ้าของจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เป็นบวกดังที่เคยเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โรคระบาด

ภาระหนี้คาดว่าจะลดลงหลังการลงทุนซื้อสินทรัพย์

สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าการลงทุนตามแผนของทรัสต์ฯ จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2566 หรือต้นปี 2567 โดยมีมูลค่าไม่เกิน 9.8 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ จะใช้การเพิ่มทุนในสัดส่วน 60% และใช้การก่อหนี้ในสัดส่วน 40% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์รวมของทรัสต์ฯ ลดลงเหลือประมาณ 44% หลังการทำธุรกรรมจากระดับ 47% ในปี 2565

ด้วยสมมติฐานที่โรงแรมของทรัสต์ฯ จะมีอัตรา EBITDA Margin ที่ระดับ 45% ทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ จะมีรายได้ค่าเช่าจากโรงแรมที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้ง 3 แห่งรวมทั้งสิ้น 925 ล้านบาทในปี 2566 และเมื่อรวมกับรายได้ค่าเช่าจากโรงแรมใหม่อีก 2 แห่งแล้ว ทรัสต์ฯ จะมีรายได้ค่าเช่ารวมที่ระดับ 1.7-1.8 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568 โดยหากประมาณการว่ากองทรัสต์ฯ จะมีโครงสร้างค่าใช้จ่ายเหมือนกับในปี 2565 ทริสเรทติ้งก็คาดว่าทรัสต์ฯ จะมี EBITDA อยู่ที่ระดับประมาณ 840 ล้านบาทในปี 2566 และประมาณ 1.5-1.6 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของทรัสต์ฯ จะอยู่ที่ประมาณ 5.7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับเกิน 9 พันล้านบาทหลังจากการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของทรัสต์ฯ ลดลงมาอยู่ที่ 6.8 เท่าในปี 2566 จาก 9.5 เท่าในปี 2565 และจะลดลงอย่างต่อเนื่องไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 6 เท่าหลังการทำธุรกรรมดังกล่าว

สภาพคล่องเพียงพอ

ในขณะที่การดำเนินงานกลับคืนสู่ภาวะปกติ ทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ จะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยแหล่งที่มาของเงินทุนประกอบด้วยเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.1 พันล้านบาท เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 จำนวน 169 ล้านบาท และวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 150 ล้านบาท ในขณะที่ทรัสต์ฯ มีภาระหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระซึ่งรวมดอกเบี้ยค้างจ่ายในช่วงสถานการณ์โรคระบาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 140 ล้านบาท

ข้อกำหนดทางการเงินของเงินกู้จากธนาคารระบุให้ทรัสต์ฯ ต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 1 เท่าและอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ไม่ต่ำกว่า 1.2 เท่าโดยมีการทดสอบเป็นรายปี ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2566 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนของทรัสต์ฯ อยู่ที่ระดับ 0.92 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ น่าจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนและอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดสิทธิของเงินกู้จากธนาคารได้

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? ในปี 2566 RevPAR ของโรงแรม TM21 จะอยู่ที่ประมาณ 3,900 บาทต่อห้องต่อคืน RevPAR ของโรงแรม RD จะอยู่ที่ประมาณ 3,300 บาทต่อห้องต่อคืน และ RevPAR ของโรงแรม S55 จะอยู่ที่ประมาณ 2,715 บาทต่อห้องต่อคืน หลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้น 1%-4% ต่อปีในระหว่างปี 2567-2568

? RevPAR ของโรงแรม PTY จะอยู่ที่ประมาณ 3,100-3,200 บาทต่อห้องต่อคืน และ RevPAR ของโรงแรม SPT จะอยู่ที่ประมาณ 4,800-5,000 บาทต่อห้องต่อคืนในระหว่างปี 2567-2568

? ทรัสต์ฯ จะลงทุนในโรงแรม PTY และโรงแรม SPT ในช่วงปลายปี 2566 หรือต้นปี 2567 ที่มูลค่าไม่เกิน 9.8 พันล้านบาท โดยจะใช้เงินจากการเพิ่มทุนในสัดส่วน 60%

? EBITDA ของโรงแรมโดยรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 960 ล้านบาทในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.8-1.9 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568

? รายได้ค่าเช่าจะอยู่ที่ 925 ล้านบาทในปี 2566 และจะอยู่ที่ 1.7-1.8 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Positive? หรือ ?บวก? สะท้อนถึงโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในกรณีที่ทรัสต์ฯ ประสบความสำเร็จในการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ 2 แห่งที่พัทยาและมีการเพิ่มทุนเพื่อใช้ในการลงทุนบางส่วนตามแผน โดยที่สินทรัพย์ใหม่จะช่วยให้ฐานรายได้ของทรัสต์ฯ มีขนาดใหญ่ขึ้นและลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินทรัพย์

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากการลงทุนในโรงแรม PTY และ SPT ประสบความสำเร็จตามแผนโดยมีสัดส่วนของเงินลงทุนเป็นไปตามสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตยังขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของโรงแรมที่เป็นไปตามคาดหรือดีกว่าอีกด้วยเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดสู่ ?Stable? หรือ ?คงที่? หากทรัสต์ฯ ไม่สามารถลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ได้ตามแผนหรือมีการลงทุนโดยการก่อหนี้มากกว่าที่ประมาณการ นอกจากนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตยังอาจได้รับการปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานของโรงแรมของทรัสต์ฯ อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้รายได้ค่าเช่าลดต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมาก

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า, 15 กรกฎาคม 2564

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ