ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ชุดใหม่ “บ. บัตรกรุงไทย” ที่ “BBB+/Stable”

ข่าวทั่วไป Tuesday October 13, 2009 16:34 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5,500 ล้านบาทของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ในขณะเดียวกันก็ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยบริษัทจะนำเงินส่วนใหญ่ที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้เดิมที่จะครบกำหนดและใช้ในการปรับโครงสร้างเงินกู้ อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถของคณะผู้บริหารและระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถดำรงสถานภาพที่แข็งแกร่งในธุรกิจบัตรเครดิต ในการให้อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้ถือหุ้นใหญ่คือธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 49.45% ณ วันที่ 2 เมษายน 2552 อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนปัจจัยทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย และความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายสินเชื่อ และกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนด้านการเงินและการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงไทยต่อไป นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการเข้าไประดมทุนในตลาดทุน รวมถึงการบรรลุแผนระดมทุนโดยการมีแหล่งเงินจากสถาบันการเงินภายนอกหลายแห่ง และยังคงดำเนินนโยบายด้านสินเชื่อที่เข้มงวดต่อไป อย่างไรก็ตาม หากผลประกอบการของบริษัทถดถอยลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ก็อาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่าสภาพคล่องในระยะสั้นของบริษัทบัตรกรุงไทยปรับตัวดีขึ้นโดยลำดับเนื่องจากบริษัทสามารถออกหุ้นกู้ระยะยาวมูลค่ารวม 9,180 ล้านบาทได้ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2552 บริษัทมีสัดส่วนเงินกู้ระยะยาวคิดเป็น 80.2% ของเงินกู้ยืมทั้งหมด ณ เดือนสิงหาคม 2552 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 54.89% ณ เดือนพฤษภาคม 2552 นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2552 บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคารกรุงไทยอีกจำนวน 18,030 ล้านบาทและจากสถาบันการเงินอื่นๆ อีก 4,010 ล้านบาท นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 เป็นต้นมาบริษัทมีระดับวงเงินสินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่เคยมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือจากธนาคารกรุงไทยเพียง 3,200 ล้านบาทและจากสถาบันการเงินอื่นๆ อีก 3,510 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารกรุงไทยก็มีข้อจำกัดด้านกฎระเบียบซึ่งกำหนดเพดานวงเงินกู้ที่ธนาคารกรุงไทยจะให้แก่บริษัทในกลุ่ม ทั้งนี้ การจัดสรรวงเงินให้แก่บริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารกรุงไทยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาและอนุมัติจากธนาคารเป็นสำคัญ

ทริสเรทติ้งกล่าวว่าบริษัทบัตรกรุงไทยยังคงดำรงสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตอย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของจำนวนบัตรที่ 12.5% ณ เดือนกรกฎาคม 2552 ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากระดับ 12.7% ณ เดือนธันวาคม 2551 อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทมีนโยบายบริหารงบการเงินด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้นซึ่งเหมาะกับภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยของปัจจัยภายนอกและความไม่แน่นอนของแหล่งเงินในตลาดทุน ดังนั้น ยอดสินเชื่อของบริษัทในปี 2552 จึงมีโอกาสที่จะไม่เติบโตหรือลดลงได้ การรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ดีจึงเป็นสิ่งท้าทายที่สำคัญสำหรับบริษัทในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และเพื่อจะลดระดับการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์ ผู้บริหารของบริษัทจึงได้ดำเนินมาตรการป้องกันหลายประการในปี 2551 ได้แก่ การใช้เกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อและนโยบายการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวดขึ้น และมีแผนในการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 บริษัทบัตรกรุงไทยมียอดรวมสินเชื่อคงค้างจำนวน 49,001 ล้านบาท ลดลง 3.1% จาก 50,587 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2551 โดยยอดสินเชื่อดังกล่าวประกอบด้วยสินเชื่อจากบัตรเครดิต 73% สินเชื่อส่วนบุคคล 24% สินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อย 2% และสินเชื่อธนวัฎบัตรเครดิตอีก 1% บริษัทประกาศกำไรสุทธิสำหรับครึ่งแรกของปี 2552 จำนวน 202 ล้านบาท ลดลงประมาณ 36% จาก 318 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2551 โดยปัจจัยสำคัญเนื่องมาจากการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มเป็น 2,025 ล้านบาทสำหรับช่วงดังกล่าว จาก 1,476 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2551 รวมทั้งจากการที่บริษัทมีรายได้พิเศษจำนวน 114 ล้านบาทจาก VISA Inc. เข้ามาในปี 2551 ทั้งนี้ หากไม่นับรวมรายได้พิเศษแล้ว อัตราส่วนในการทำกำไรของบริษัทในปี 2552 จะลดลงเล็กน้อย บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 0.4% และ 3.2% ตามลำดับสำหรับครึ่งแรกของปี 2552 เทียบกับระดับ 0.5% และ 4.0% ในช่วงเดียวกันของปี 2551

บริษัทบัตรกรุงไทยมีอัตราสินเชื่อค้างชำระและอัตราส่วนหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 อัตราส่วนสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) ของบริษัทมีสัดส่วน 4.6% เพิ่มขึ้นจาก 4.2% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 โดยสาเหตุหลักมาจากการมี

ยอดค้างชำระของสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิกลับเพิ่มขึ้นจาก 5.5% ในปี 2550 เป็น 6.3% ในปี 2551 และ 3.7% สำหรับครึ่งแรกของปี 2552 (ยังไม่ได้ปรับเป็นตัวเลขเต็มปี) อัตราส่วนจำนวนกันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 3.84% ณ สิ้นปี 2550 เป็น 4.54% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 อันเป็นผลมาจากการถดถอยลงของคุณภาพสินทรัพย์และเกณฑ์การตั้งสำรองสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 เกณฑ์การตั้งสำรองสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลคำนวณจากค่าสถิติความสูญเสียย้อนหลังที่เกิดขึ้นจริงบวกกับค่าความเสี่ยงในอนาคตที่สะท้อนถึงภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงไปจากเดิมที่ตั้งสำรองในอัตราคงที่ในระดับ 2% ของยอดสินเชื่อที่ค้างชำระน้อยกว่า 180 วัน นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2552 บริษัทยังได้เปลี่ยนวิธีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับสินเชื่อเจ้าของกิจการที่ค้างชำระเกิน 90 วันเป็นเต็มจำนวน 100% ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นจำนวน 30.17 ล้านบาทในไตรมาสดังกล่าว ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC)
อันดับเครดิตองค์กร:	                             คงเดิมที่ BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KTC09OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2552      คงเดิมที่ BBB+
KTC102A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553	 คงเดิมที่ BBB+
KTC104A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553      คงเดิมที่ BBB+
KTC106A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553      คงเดิมที่ BBB+
KTC113A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554      คงเดิมที่ BBB+
KTC115A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 680 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554        คงเดิมที่ BBB+
KTC126A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555      คงเดิมที่ BBB+
KTC128A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 4,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555      คงเดิมที่ BBB+
KTC129A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555        คงเดิมที่ BBB+
KTC12OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 220 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555        คงเดิมที่ BBB+
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 5,300 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2557	คงเดิมที่ BBB+
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 5,550 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2557	BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต:		                            Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2552 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต  ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ   แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ  ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน  บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ