ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต “บ. บัตรกรุงไทย” ที่ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Tuesday May 18, 2010 13:34 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) คงเดิมที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable”หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถดำรงสถานภาพผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิต ในการให้อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 49.45% ด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบของทางการซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อ รวมถึงคุณภาพสินทรัพย์ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนด้านการเงินและการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงไทยต่อไป นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการระดมทุนในตลาดทุน รวมถึงการบรรลุแผนระดมทุนจากสถาบันการเงินภายนอกเครือข่ายหลายแห่ง และยังคงดำเนินนโยบายด้านสินเชื่อที่เข้มงวดต่อไป อย่างไรก็ตาม หากผลประกอบการของบริษัทถดถอยลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญก็อาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบัตรกรุงไทยไม่น่าจะมีปัญหาสภาพคล่องในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเว้นแต่บริษัทจะมีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วโดยใช้เงินทุนจำนวนมากจากแหล่งเงินทุนที่อ่อนไหวต่อความเชื่อมั่น ทั้งนี้ บริษัทสามารถระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้จำนวนทั้งสิ้น 18,200 ล้านบาทในช่วงเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม 2552 และได้นำส่วนหนึ่งของเงินที่ได้ไปใช้ชำระคืนหนี้ตั๋วเงินระยะสั้น ณ เดือนมีนาคม 2553 แหล่งเงินทุนของบริษัทเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงินและเงินจากการออกตราสารหนี้ โดยการก่อหนี้เกือบทั้งหมดเป็นหนี้ระยะยาว (67% จากหุ้นกู้ และ 33% จากเงินกู้จากธนาคารซึ่งรวมวงเงินกู้ร่วมจากหลายธนาคาร หรือ Syndicated Loan) นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้และกระแสเงินสดรายเดือนที่ได้รับคืนจากการปล่อยกู้ด้วย บริษัทมีอัตราการใช้วงเงินที่ 36.1% ซึ่งหมายถึงยอดเงินกู้คงค้างเทียบกับวงเงินที่ได้รับจากสถาบันการเงิน รวมถึงธนาคารกรุงไทย โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 บริษัทไม่ได้ใช้วงเงินที่ได้รับจากธนาคารกรุงไทยจำนวน 18,030 ล้านบาทณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 บริษัทได้เตรียมความพร้อมในการนำมาตรฐานบัญชีระหว่างประเทศมาใช้เป็นครั้งแรกคือ มาตรฐานฉบับที่ 39 (การรับรู้และการวัดมูลค่าตราสารทางการเงิน) หรือ IAS39 บริษัทได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเต็มจำนวนสำหรับลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้เป็นเวลา 90 วันขึ้นไป ซึ่งเป็นวิธีที่ปรับเปลี่ยนจากวิธีประมาณการจากอัตราร้อยละของการสูญเสียสุทธิที่เกิดขึ้นจริงในอดีต นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งประมาณการหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากวงจรเศรษฐกิจที่ตกต่ำในอนาคตด้วย จากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานทางบัญชีดังกล่าว บริษัทได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเป็น 1,264 ล้านบาทในปี 2552 ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะทยอยตั้งสำรองเพิ่มขึ้นจนเท่ากับจำนวนที่บังคับใช้ภายใต้มาตรฐาน IAS39 ซึ่งคาดว่าจะบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2556 นอกจากนี้ บริษัทยังได้เริ่มใช้มาตรฐานบัญชีระหว่างประเทศฉบับที่ 12 (ภาษีเงินได้) หรือ IAS12 เป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งทำให้บริษัทบันทึกรายการภาษีเงินได้ค้างจ่ายในงบดุล โดยบริษัทเชื่อว่าการนำมาตรฐาน IAS12 มาใช้จะช่วยสะท้อนธุรกิจและภาระทางภาษีเงินได้หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีของบริษัทในอนาคตได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น

บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 395 ล้านบาทในปี 2552 ซึ่งลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 617 ล้านบาทในปี 2551 อันเนื่องมาจากหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนนโยบายทางบัญชีเป็นสำคัญ โดยผลกำไรที่สูงในปี 2551 ส่วนหนึ่งมาจากรายได้พิเศษจำนวน 114 ล้านบาทจาก VISA Inc. บริษัทมีการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเป็น 5,604 ล้านบาทในปี 2552 โดยเพิ่มขึ้นจาก 3,288 ล้านบาทในปี 2551 และ 2,539 ล้านบาทในปี 2550 บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยที่ -0.77% และ -6.11% ในปี 2552 โดยลดลงจาก 1.3% และ 9.8% ในปี 2551 ตามลำดับ การแข่งขันที่รุนแรงจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และนโยบายการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เข้มงวดขึ้นจะยังคงกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อไป

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทบัตรกรุงไทยยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตได้อย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของจำนวนบัตรที่ 12.2% ณ เดือนธันวาคม 2552 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 12.7% ณ เดือนธันวาคม 2551 และเพื่อจะลดระดับการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์ที่มีโอกาสจะเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริหารของบริษัทจึงได้ดำเนินมาตรการป้องกันหลายประการในปี 2551 ได้แก่ การใช้เกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อและนโยบายการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวดขึ้น และมีแผนในการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรในกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 บริษัทมียอดรวมสินเชื่อคงค้างจำนวน 47,237 ล้านบาท ลดลง 6.6% จาก 50,587 ล้านบาทในปี 2551 เนื่องจากภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวยและการใช้นโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มวงดยิ่งขึ้นในปี 2552 โดยยอดสินเชื่อคงค้างประกอบด้วยสินเชื่อบัตรเครดิต 76% สินเชื่อส่วนบุคคล 22% สินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อย 1% และสินเชื่อธนวัฎบัตรเครดิตอีก 1% ทั้งนี้ คาดว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อคงค้างและคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในปี 2553 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจได้ถึงจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อปี 2552 อย่างไรก็ตาม การเมืองที่ไร้เสถียรภาพจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

อัตราสินเชื่อค้างชำระและหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิของบริษัทบัตรกรุงไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 อัตราสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) ของบริษัทมีสัดส่วน 4.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 4.0% ณ เดือนธันวาคม 2551 โดยสาเหตุมาจากการมียอดค้างชำระของสินเชื่อบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิก็เพิ่มขึ้นจาก 5.5% ในปี 2550 เป็น 6.3% ในปี 2551 และ 10.4% ในปี 2552 (หรือ 7.9% หากไม่รวมผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชี) อัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมากในปี 2552 จาก 3.84% ในปี 2550 เป็น 6.84% ในปี 2552 เนื่องจากบริษัทยังไม่ได้ตัดสินเชื่อค้างชำระที่ตั้งสำรองไว้เต็มจำนวนบางส่วนออกจากบัญชี ซึ่งค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการถดถอยลงของคุณภาพสินทรัพย์และเกณฑ์การตั้งสำรองสำหรับสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้มงวดขึ้น ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC)
อันดับเครดิตองค์กร:	                            คงเดิมที่ BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KTC106A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553 	คงเดิมที่ BBB+
KTC113A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554   	คงเดิมที่ BBB+
KTC115A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 680 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554   	คงเดิมที่ BBB+
KTC126A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555  	คงเดิมที่ BBB+
KTC128A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 4,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555  	คงเดิมที่ BBB+
KTC129A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 	คงเดิมที่ BBB+
KTC12OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 220 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555  	คงเดิมที่ BBB+
KTC135A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556   	คงเดิมที่ BBB+
KTC135B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556   	คงเดิมที่ BBB+
KTC135C: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556     คงเดิมที่ BBB+
KTC13NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 7,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556  	 คงเดิมที่ BBB+
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 350 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2557	คงเดิมที่ BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                                    Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2553 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต  ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ   แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ  ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน  บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ