JCK คาดผลงานปีนี้ดีกว่าปีก่อน เร่งพัฒนานิคมทีเอฟดี 2 เสร็จใน Q3/62 -เจรจาขาย Warehouse ในอังกฤษ มูลค่า 750 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 29, 2019 10:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุกูล อุบลนุช กรรมการผู้จัดการคนใหม่ บมจ.เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล (JCK) ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ JCK เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2562 เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทประเมินผลประกอบการจะเติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 ได้มากเพราะได้รับอานิสงส์จากวิกฤติสงครามการค้าระหว่างจีน และอเมริกา ทำให้มีลูกค้ารายใหม่หลายรายจากประเทศจีนตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทยอีกจำนวนมาก จึงเป็นปัจจัยหนุนให้การขายที่ดินเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคของนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 ให้แล้วเสร็จไม่เกินไตรมาสที่ 3 ปีนี้เพื่อรองรับการขายที่ดินดังกล่าว

แผนการดำเนินธุรกิจปี 2562 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้จากการขายที่ดินจะเป็นปัจจัยหลักที่จะสร้างรายได้ และผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพราะธุรกิจนิคมฯ มีอัตรากำไรค่อนข้างสูง ปัจจุบันมีลูกค้าที่สนใจซื้อที่ดินโครงการของบริษัทอยู่หลายราย ทั้งผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในนิคมฯ และลูกค้ารายใหม่ เนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นนิคมฯ ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีโลเชั่นที่ดี มีพื้นที่ดินเลียบขนานไปกับถนนมอเตอร์เวย์เกือบ 4 กิโลเมตร และติดถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งเป็นนิคมฯ ในเขต EEC ที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด

สำหรับการขยายการลงทุน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตนั้น ล่าสุดบริษัทได้เข้าไปร่วมประมูลการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุ มีพื้นที่รวมประมาณ 1,363 ไร่ 2 งาน 17.1 วา กับกรมธนารักษ์ โดยบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตในอนาคตของภูมิภาคนี้ ที่จะสามารถพัฒนายกระดับพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นศูนย์กลางการขนส่ง และโลจิสติกส์ เชื่อมการค้าและการลงทุนเข้าด้วยกันเนื่องจากจังหวัดนครพนม เป็นเส้นทางเชื่อมต่อประเทศในภูมิภาคอินโดจีน เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเชื่อมต่อประเทศจีนตอนใต้ผ่านสะพานมิตรภาพ 3 ที่สั้นและสะดวกที่สุด

ประกอบกับพื้นที่โครงการติดกับเส้นทางรถไฟทางคู่ ขอนแก่น (บ้านไผ่) – นครพนม ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะชนะประมูลได้รับการคัดเลือกเป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้ทำให้บริษัทมีที่ดินที่จะนำมาพัฒนาได้ทันทีถึง 1,363 ไร่ในต้นทุนที่ต่ำ เพราะราคาที่บริษัทเสนอไปเป็นราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับศักยภาพของที่ดินแปลงนี้ และยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในสิทธิประโยชน์ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอีกด้วย ซึ่งสิทธิประโยชน์นี้ไม่ด้อยไปกว่าที่ดินที่อยู่ในพื้นที่ EEC

สำหรับการพัฒนาที่ดินแปลงนี้บริษัทได้วางผังแม่บทการพัฒนาและใช้ประโยชน์ที่ดินไว้เป็นส่วนๆ เช่น พื้นที่สำหรับเมืองวัฒนธรรม การศึกษา การรักษาพยาบาล พื้นที่สำหรับเป็นศูนย์ประชุม แสดงสินค้านานาชาติ และพาณิชยกรรม พื้นที่สำหรับการกีฬาและสันทนาการ พื้นที่สำหรับศูนย์กระจายสินค้าและเขตอุตสาหกรรมทั่วไป เป็นต้น ซึ่งการได้ที่ดินแปลงนี้มาพัฒนาจะเป็นประโยชน์กับบริษัทเป็นอย่างมากในระยะยาว

นายอนุกูล กล่วาว่า ด้านธุรกิจคลังสินค้าในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขาย Warehouse ที่เหลืออยู่อีก 1 แห่ง ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ โดยมีมูลค่าขายอยู่ประมาณ 750 ล้านบาท หรือ 18 ล้านปอนด์ ก็จะสร้างกำไรให้กับบริษัทมากพอสมควร ส่วนธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าในไทย มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปี 2562 น่าจะให้เช่าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าเดิมอีกประมาณ 32,000 ตร.ม. ยอดพื้นที่เช่ารวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 62,000 ตร.ม.

ส่วนธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการ The Artisan กับพันธมิตรด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศจีน มูลค่าโครงการรวม 6,800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้วเกินกว่า 60% มีความคืบหน้าการก่อสร้างในงานโครงสร้างไปแล้วประมาณ 95% บริษัทคาดว่า จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงต้นปี 2563 เป็นต้นไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ