รู้ลึกลุ่มน้ำโขง: สนามบินนานาชาติหงสาวดี...โอกาสทางธุรกิจที่อยู่ไม่ไกลของไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 30, 2014 15:19 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

การเปิดประเทศของพม่าและการปฏิรูปประเทศที่มีพัฒนาการมากขึ้นเป็นลำดับส่งผลให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าสู่พม่าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับพม่ามีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยชูจุดแข็งของแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม ทำให้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาพม่าเพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้ ทางการพม่าตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ราว 1 ล้านคน (ในจำนวนนี้ราวร้อยละ 55 เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาโดยเครื่องบิน) เป็น 7.5 ล้านคนภายในปี 2563 จึงเร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะการปรับปรุงและยกระดับสนามบินภายในประเทศให้ได้มาตรฐานสากล รวมทั้งการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น

ล่าสุดทางการพม่าอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้างสนามบินหงสาวดี ซึ่งจะเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 4 ของพม่า รองจากสนามบินนานาชาติย่างกุ้ง สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ และสนามบินนานาชาติเนปิดอว์ โดยหากการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะมีส่วนช่วยรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมทั้งเชื่อมโยงเส้นทางการเดินทางในประเทศ ตลอดจนเชื่อมโยงเส้นทางการเดินทางระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งกำลังก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ภายในปี 2558

สนามบินนานาชาติหงสาวดี

สนามบินนานาชาติหงสาวดี (Hanthawady International Airport) ตั้งอยู่ในเขตพะโค (Bago Region) ห่างจากเมืองย่างกุ้งไปทางเหนือราว 80 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 24,000 ไร่ มีมูลค่าการลงทุนราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สนามบินนานาชาติหงสาวดีถูกออกแบบให้สามารถรองรับเครื่องบินแอร์บัส A-380 ซึ่งเป็นเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ และเครื่องบินขนส่งสินค้า รวมทั้งตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของเที่ยวบินระหว่างประเทศในพม่า ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้ 12 ล้านคนต่อปี และสามารถขยายการรองรับผู้โดยสารได้ถึง 35 ล้านคนต่อปีในระยะต่อไป เทียบกับสนามบินนานาชาติย่างกุ้งซึ่งปัจจุบันรองรับผู้โดยสารได้เพียง 2.7 ล้านคนต่อปี และอยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 6 ล้านคนต่อปี

เดิมโครงการก่อสร้างสนามบินนานาชาติหงสาวดีเคยได้รับอนุมัติให้ดำเนินการในปี 2539 แต่ถูกระงับไป เนื่องจากบริษัทที่ได้รับสัมปทานไม่สามารถดำเนินโครงการได้ ต่อมา Department of Civil Aviation (DCA) ของพม่าได้หยิบยกโครงการดังกล่าวขึ้นมาสานต่อ พร้อมทั้งเปิดเผยว่ามีบริษัท 30 แห่ง สนใจเข้ามาลงทุนในโครงการก่อสร้างสนามบินนานาชาติหงสาวดี แต่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกเพียง 7 บริษัท (การคัดเลือกพิจารณาจากความมั่นคงทางการเงิน ประสบการณ์การทำงาน และทักษะของบุคลากร เป็นต้น) อาทิ Incheon International Airport Consortium (เกาหลีใต้) Yongnam-CAPE-JGC Consortium (สิงคโปร์) Vinci Airport (ฝรั่งเศส) และ Taisei Corporation (ญี่ปุ่น) และเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2556 DCA ได้ประกาศผลการคัดเลือกให้บริษัท Incheon International Airport Consortium ซึ่งประกอบด้วย Incheon International Airport และพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างของเกาหลีใต้อีก 4 ราย ได้แก่ Kumho Industrial Co. Ltd., Halla Engineering & Construction Corp., Lotte Engineering & Construction Co. Ltd. และ Posco ICT เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างสนามบินนานาชาติหงสาวดี ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2561

โอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทย

โครงการก่อสร้างสนามบินนานาชาติหงสาวดียังอยู่ในระยะเริ่มต้น จึงเป็นโอกาสของธุรกิจก่อสร้าง ซึ่งต้องการผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้รับเหมาช่วงในงานก่อสร้างประเภทต่างๆ รวมถึงโอกาสในการขยายตลาดส่งออกปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ซึ่งพม่ามีความต้องการสูงทั้งในโครงการก่อสร้างสนามบินนานาชาติหงสาวดีและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งยังขาดแคลนอยู่มากในพื้นที่โดยรอบ ทั้งนี้ ทางการพม่ามีแผนจะพัฒนาพื้นที่โดยรอบสนามบินนานาชาติหงสาวดีให้เป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของประเทศ รองจากเมืองย่างกุ้ง ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างเมืองพะโคกับเมืองย่างกุ้ง นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวของพม่ารายงานจำนวนห้องพักในเขตพะโคมีเพียง 349 ห้อง จากโรงแรมและที่พัก 13 แห่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการเข้าไปลงทุนก่อสร้างโรงแรมและที่พัก โดยเฉพาะโรงแรมและที่พักระดับดี ซึ่งยังมีไม่มากนัก ทั้งนี้ เมื่อสนามบินนานาชาติหงสาวดีก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ ประกอบกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลพม่า จะมีส่วนช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวให้คึกคักมากยิ่งขึ้น รวมทั้งคาดว่าจะสร้างการจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็น 1.49 ล้านตำแหน่งภายในปี 2563 จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในระยะถัดไปในการขยายตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ในการประกอบอาหาร ซึ่งมีความจำเป็นค่อนข้างมากต่อการดำรงชีวิตประจำวัน อาทิ น้ำตาลทราย น้ำปลา น้ำมันพืช ซอสปรุงรส และผงชูรส เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคของชาวพม่าที่มีแนวโน้มขยายตัวตามกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน

Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2557--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ