"อภิสิทธิ์"ติงนโยบายพลังงานรัฐบาลสร้างความสับสน-เพิ่มภาระให้ปชช.

ข่าวการเมือง Monday January 9, 2012 17:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นเกี่ยวกับการปิดประท้วงการจราจรที่ หน้าบริษัทปตท.สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีรังสิต และลานพระบรมรูปทรงม้าโดยผู้ประกอบการด้านการขนส่ง จากการที่รัฐบาลขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดกันมาเป็นเดือนแล้ว แต่แปลกใจว่าเหตุใดจึงไม่มีการปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาคำตอบให้เกิดความชัดเจน

โดยเฉพาะเรื่องนี้รัฐบาลมีนโยบายที่สับสนมาก ในขณะที่ตอนหาเสียงนายกฯ ยิ่งลักษณ์กล่าวว่าจะกระชากค่าครองชีพ ซึ่งในความเข้าใจของประชาชนตอนนั้นคือกระชากค่าครองชีพให้ต่ำลง และมีความพยายามที่จะบริหารจัดการยกเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าราคาพลังงานจะลดลงมาก ต่อมาตอนเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ ๆ ก็ดำเนินการในเรื่องที่สร้างปัญหาให้ตัวเองมากขึ้น เช่นการอุ้มราคาน้ำมันเบนซิน ทำให้เกิดหนี้สินในกองทุนน้ำมัน แล้วตอนนี้ก็จะเลิกอุดหนุนทุกอย่างเมื่อประชาชนรายได้ดีขึ้นจากนโยบายด้านอื่นของรัฐบาล เช่นการเพิ่มค่าแรง การเพิ่มเงินเดือน และราคาข้าว แต่เมื่อลงมือปฏิบัติจริงแล้วจะเห็นว่า นโยบายเพิ่มรายได้นั้นกลับไม่เดินหน้า

“ค่าแรงก็ไม่ใช่สามร้อย เงินเดือนก็ไม่ใช่หมื่นห้า จำนำข้าวก็มีปัญหาเยอะแยะไปหมด แต่นโยบายที่บอกว่าจะเริ่มปล่อยให้พลังงานแพงขึ้นกับเดินเลย ความจริงไม่ใช่เฉพาะกลุ่มนี้ที่มีความเดือดร้อนในวันนี้ เดือนนี้ค่าไฟกำลังจะขึ้น แอลพีจีก็กำลังจะขึ้น เอ็นจีวีก็กำลังจะขึ้น แล้วก็การต่ออายุในการยกเว้นภาษีน้ำมันดีเซล รัฐบาลก็ทำท่าจะต่อแค่เดือนกุมภาฯ คือเดือนหน้าราคาน้ำมันก็จะสูงขึ้นอีก ค่าครองชีพก็จะสูงขึ้น รัฐบาลมีคำตอบให้เฉพาะบางกลุ่ม เช่น เอ็นจีวี แอลพีจี ก็บอกว่าผู้ประกอบการรถสาธารณะจะมีบัตรเครดิตให้ ซึ่งก็มีปัญหาอีก"

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อรัฐบาลทำโครงการอะไรก็มักเกิดปัญหาเสมอ เหมือนกรณีคูปองเครื่องใช้ไฟฟ้า ตั้งแต่การคัดสรรผู้เข้าร่วมโครงการ การใช้คูปองที่ไม่มีความชัดเจน สุดท้ายก็ทำให้เห็นแต่ปัญหาค่าครองชีพที่กำลังสูงขึ้น การไม่ตอบโจทย์คนอีกจำนวนมากโดยเฉพาะคนยากคนจน ทิศทางภาพรวมเรื่องพลังงานก็ไม่แน่นอนว่าจะส่งเสริมการใช้เอ็นจีวีหรือไม่ หรือจะส่งเสริมพลังงานทดแทนหรือไม่อย่างไร

ทั้งนี้ สภาพราคาเอ็นจีวีปัจจุบันไม่สะท้อนค่าพลังงานจริงว่า ตอนแรกในหลายรัฐบาลมาแล้วได้ส่งสัญญาณว่าจะส่งเสริมสนับสนุนให้คนใช้เอ็นจีวี โดยการทำให้มีราคาถูก ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะทำให้เกิดการผูกขาด จนกระทั่งในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้วก็มีความพยายามในการขอขึ้นราคาเอ็นจีวี ตนก็บอกว่าต้องมีการพิสูจน์เรื่องต้นทุนก่อน เพราะวิธีคำนวณต้นทุนก็มีการโต้แย้งกันมาก แต่คิดว่าวันนี้เร็วเกินไปที่จะมาบอกว่าจะทำอย่างนี้เพราะไม่อยากอุดหนุนเอ็นจีวีเพราะเป็นการสร้างภาระให้กองทุนน้ำมัน ดังนั้นจึงทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดรัฐบาลจึงยังอุดหนุนน้ำมันเบนซิน ตนจึงเห็นว่ารัฐบาลจะต้องทบทวนหลักคิดทั้งหมด และรัฐมนตรีพลังงานก็ต้องมาทำเรื่องนี้

เรื่องรูปแบบการช่วยเหลือของรัฐบาลที่แจกคูปองส่วนลดเครื่องใช้ไฟฟ้าว่า ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย ข้อดีของคูปองคือสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ แต่ถ้าขาดความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมายก็ทำให้เกิดปัญหา และเปิดช่องทุจริต ยิ่งไปกว่านั้นคูปองนี้ยังมีมูลค่าไม่เท่ากัน เพราะไม่ได้เป็นการแจกส่วนลดมูลค่า 2,000 บาท แต่กลายเป็นคูปองส่วนลด 20% เพราะหากต้องการซื้อของมูลค่า 2,000 บาท กลับกลายเป็นส่วนลดให้กับของชิ้นนั้น 200 บาท เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องมีคำอธิบาย สุดท้ายแล้วก็ปรากฏว่าหลายคนไม่ได้คูปอง เพราะคูปองไม่ได้จัดทำเท่ากับจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และการไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ไม่สามารถซื้อกับร้านใดก็ได้ ทำให้ต้องไปดูว่าใช้เกณฑ์อย่างไรในการคัดเลือกร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ และยิ่งกว่านั้นโครงการนี้ใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าได้ใช้เงินตามวัตถุประสงค์ของกองทุนดังกล่าวหรือไม่ ซ้ำร้ายยังมีการซื้อขายคูปองเกิดขึ้นด้วย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการออกพรก.ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน 4 ฉบับ ว่า โดยหลักการแล้วเห็นด้วยกับ พรก.จัดตั้งกองทุนประกันภัยเพราะมีความจำเป็น แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดเงื่อนไขการจัดบริหารจัดการ สำหรับพรก.ตัวอื่น ๆ มองว่าไม่ใช่การช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำท่วม แต่กลับลากธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามารับภาระ

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังแสดงความเป็นห่วงถึงสถานะเงินสำรองระหว่างประเทศว่า หากประเทศไทยเกิดวิกฤต แล้วมีการบริหารผิดพลาดจะทำให้เงินหมดได้ภายในพริบตา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ