นายกฯ ชวนนลท.อินเดียลงทุนไทย ย้ำมีนโยบายเอื้อต่อการลงทุน-ที่ตั้งมีศักยภาพ

ข่าวการเมือง Wednesday January 25, 2012 18:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เชิญชวนให้ภาคเอกชนของอินเดียเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-อินเดีย ในระหว่างการร่วมหารือระหว่างงานเลี้ยงอาหารกลางวัน (Buiness Luanch Talk) โดยมีสมาพันธ์อุตสาหกรรมอินเดีย (Federation of Indian Industry) สมาพันธ์สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมอินเดีย และสมาคมหอการค้าและอุตสาหกรรมอินเดียเป็นเจ้าภาพ

"ไทยและอินเดียถือเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในประชาคมอาเซียน และกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในปัจจุบัน และในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียเพื่อพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์"แถลงของสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี แสดงเหตุผลในการเชิญชวนภาคเอกชนของอินเดียว่า ไทยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้มีเป้าหมายที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อของภูมิภาคไปสู่ประเทศต่างๆในประชาคมอาเซียน และกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งรัฐบาลไทยมีแผนการลงทุนด้านการคมนาคม ด้วยการสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นการเปิดโอกาสการค้า การลงทุนใหม่ๆ และยังมีแผนการสร้างเส้นทางเชื่อมโยงทางทะเลระหว่างท่าเรือเชนไน ท่าเรือทวายของเมียนมาร์ และท่าเรือแหลมฉบังของไทย

ประการที่สอง ความตกลง FTA ไทย-อินเดีย ทำให้การค้าระหว่างไทย - อินเดียขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยหลังจากมีการเจรจาความตกลง FTA ในปี 2544 (2001) จาก 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มเป็นกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในการเดินทางเยือนอินเดียครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียจะเร่งรัดการเจรจาความตกลง FTA ให้แล้วเสร็จภายในกลางปีนี้ และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มตัวเลขการค้าขายทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้เป็น 14 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2014

ประการที่สาม ประเทศไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ร้อยละ 5 ในขณะเดียวกัน ตลาดการอุปโภคบริโภคในปัจจุบันยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล สถานะทางการเงินการคลังอยู่ในระดับที่ดี โดยรัฐบาลควมคุมหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้ไม่เกินร้อยละ 40 และมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอีกกว่า 180 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ประการที่สี่ ไทยมีนโยบายเป็นมิตรทางธุรกิจต่อนักลงทุน ปัจจุบัน อัตราภาษีนิติบุคคลอยู่ที่ร้อยละ 23 และจะลดลงเหลือร้อยละ 20 ในปีหน้า และไทยยังมีตลาดแรงงานที่มีคุณภาพไว้รองรับการเข้ามาดำเนินธุรกิจของบริษัทนานาชาติ

ประการสุดท้าย รัฐบาลไทยได้ลงทุนกว่า 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและธุรกิจว่าจะปลอดภัยจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงมีการจัดระบบการบริหารทรัพยากรน้ำ เพื่อป้องกันเขตเศรษฐกิจและเขตอุตสาหกรรม การสร้าง Floodways และ Floodplains การปรับปรุงระบบการเตือนภัย และการใช้ระบบ Single command เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพในการบริหารสถานการณ์

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีความเชื่อมั่นว่า ความเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทย-อินเดีย จะยิ่งทำให้ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศเติบโตมากขึ้น และยังเป็นโอกาสสำหรับภาคเอกชนสำหรับความร่วมมือในสาขาใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นฐานในภาคอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการด้านการแพทย์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สนับสนุนให้มีการจัด CEO Forum เพื่อเร่งส่งเสริมการลงทุนระหว่างสองประเทศ และเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในไทย เพื่อขยายความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ