ศรส. เผย DSI สั่งถอนถอนอายัดบัญชี 38 แกนนำ กปปส.แล้ว-ห่วงสถานการณ์วิกฤติ

ข่าวการเมือง Tuesday February 25, 2014 13:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) กล่าวว่า ศรส.ได้รับแจ้งจากกรมสอบสวนคดีพิเศษว่า ตามที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ 2548 มาตรา 24 โดยขอให้ธนาคารตรวจสอบบัญชีเงินฝากและอายัดบัญชีเงินฝากของแกนนำ กปปส. จำนวน 38 คน ที่เป็นผู้ต้องหาในคดีพิเศษ และต่อมาศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอนุญาตให้นายเสรี วงษ์มณฑา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหา สามารถเบิกถอนเงินจากบัญชีได้ ซึ่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วเพื่อเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลแพ่งดังกล่าว จึงได้ดำเนินการเพิกถอนการอายัดบัญชีของนายเสรีฯ และผู้ต้องหารายอื่นทั้ง 38 คน รวมถึงบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้องอีก 3 บัญชี ทั้งนี้ ได้แจ้งให้ธนาคารดำเนินการเพิกถอนการอายัดบัญชีดังกล่าวด้วยแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะได้เพิกถอนการอายัดบัญชีเงินฝากของผู้ต้องหาทั้ง 38 คน ดังกล่าวแล้ว แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษก็ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบบัญชีเงินฝากของบุคคลทั้ง 38 ราย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินคดีต่อไป

ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง 53 แห่งแล้ว แต่หลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา ส่งผลให้ ศรส.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลักตามกฎหมายได้ และเป็นผลให้ กปปส. ไปบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการและขับไล่ข้าราชการไม่ให้ทำงานอีก ข้อมูลจนถึงเช้าวันนี้ กปปส. ได้กลับไปบุกรุกปิดล้อมส่วนราชการและบริษัทเอกชน จำนวน 10 แห่ง ได้แก่ กรมศุลกากร กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมสรรพสามิต สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี บมจ. เอ็มลิ้ง เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และอาคารชินวัตรทาวเวอร์ ๓

ศรส.จึงหวังว่า การยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลแพ่งจะเป็นผลให้ ศรส.สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ดังเดิม เพื่อหยุดยั้งมิให้ กปปส. กลับไปปิดสถานที่ราชการได้อีกจำนวนมากเช่นเดิม

ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรงขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 187 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน 172 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 359 คดี และศาลได้ออกหมายจับให้แล้วจำนวน 130 คน ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน 33 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ กกต.ที่ถูกดำเนินคดีนั้นมีจำนวนถึง 560 คนแล้ว

จากเหตุการณ์ร้ายแรงที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องมาหลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษานั้น ศรส.มีความกังวลใจเป็นอย่างมาก และใคร่ขอร้องกลุ่มผู้ชุมนุมต่าง ๆ ทั้งที่สนับสนุน กปปส. กลุ่มที่คัดค้าน กปปส. กลุ่ม นปช. และกลุ่มอื่น ๆ ได้โปรดอดทน อดกลั้น อย่าได้ออกมาใช้ความรุนแรง เพราะมีแนวโน้มว่า สถานการณ์จะวิกฤติมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง ซึ่งจะเกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองเป็นอย่างมาก และยากแก่การแก้ไขเยียวยาให้กลับคืนสู่สภาพเดิม สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ นั้น ศรส.ขอได้โปรดปฏิบัติหน้าที่และภารกิจของตนโดยเคร่งครัด เฉพาะอย่างยิ่งการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ