ศาลสั่งจำคุก 4 แกนนำ นปช.พาม็อบบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยไม่รอลงอาญา

ข่าวการเมือง Wednesday September 16, 2015 13:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พร้อมแนวร่วมกลุ่ม นปช.โดยไม่รอลงอาญา กรณีนำมวลชนไปปักหลักชุมนุมบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง

คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล, นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน, นายวันชัย นาพุทธา, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ เป็นจำเลยที่1-7 ในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้มีหน้าที่สั่งการ ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้ผู้ที่มั่วสุมเลิกไปแล้วไม่เลิกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรค 2, 215, 216 ประกอบมาตรา 33, 83 และ 91

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 ก.ค.50 แกนนำและแนวร่วมกลุ่ม นปช.พากลุ่มผู้ชุมนุมหลายพันคนจากเวทีปราศรัยเคลื่อนที่บริเวณสนามหลวงไปยังบ้านพักสี่เสาเทเวศร์เพื่อเรียกร้องกดดันให้ พล.อ.เปรม ลาออกจากตำแหน่ง

วันนี้จำเลยที่ 1-3 และ 5-7 เดินทางมาศาล มีเพียงนายวีระกานต์จำเลยที่ 4 ได้มอบให้ผู้แทนนำใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจยื่นต่อศาล เพื่อขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อนเนื่องจากมีอาการป่วยเลือดออกในลำไส้ ศาลสอบถามโจทก์แล้วไม่คัดค้าน พิจารณาแล้วอนุญาตให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาเฉพาะของจำเลยที่ 4 ออกไปเป็นวันที่ 30 ก.ย.58 เวลา 09.00 น. และให้อ่านคำพิพากษาของจำเลยที่เหลือในวันนี้

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่การชุมนุมมาเบิกความว่า ในการชุมนุมของกลุ่ม นปช.แต่ละครั้งจะมีการแจ้งสถานที่ในการเคลื่อนขบวนล่วงหน้าทุกครั้ง แต่ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 20-22 ก.ค.50 จำเลยที่ 4-7 ได้ปราศรัยชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมมารวมตัวกันวันที่ 22 ก.ค.50 เพื่อเคลื่อนขบวนการชุมนุมโดยปกปิดสถานที่ และเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมมารวมตัวกันที่สนามหลวง จำเลยที่ 4-7 ได้ปราศรัยไปในทิศทางเดียวกันให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินจากสนามหลวงไปบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลรักษาความปลอดภัยการชุมนุมมีเพียงแก๊สน้ำตา กระบอก และโล่ เมื่อกลุ่ม นปช.เดินทางมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเจรจาไม่ให้เคลื่อนขบวนเข้าไปที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์เนื่องจากเป็นพื้นที่หวงห้าม แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้มีการพูดชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่าแนวกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปและให้เอารั้วเหล็กออก แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งให้เลิกแล้ว แต่จำเลยที่ 5 ยังชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่าด่านสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไป โดยมีการแย่งรั้วเหล็กกั้น และผลักดันเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ถอยออก แม้จะไม่ใช่การทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เมื่อมีการยื้อแย่งรั้วเหล็กก็ถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ที่จำเลยที่ 4-7 ต่อสู้คดีอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมให้ผู้ชุมนุมรื้อรั้วกันเอง โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ขัดขวางนั้น แต่จากภาพเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจและแกนนำ นปช.ได้มีการเจรจากัน เพื่อขอไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปในบริเวณพื้นที่หวงห้ามดังกล่าว การที่จำเลยที่ 4-7 นำพยานบุคคลมาสืบมีน้ำหนักน้อย ไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 4-7 ร่วมกันเป็นแกนนำชักชวนให้ทำหรือไม่กระทำการใดๆ มีพฤติการณ์เป็นหัวหน้าสั่งการฯ, ก่อให้เกิดความวุ่นวายตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป

ส่วนจำเลยที่ 1-3 โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้ง 3 ได้ร่วมชุมนุมมาตั้งแต่ต้น แม้จำเลยที่ 3 จะยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้ขับรถปราศรัยซึ่งทำไปตามหน้าที่ โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบหักล้าง จึงมีเหตุอันควรสงสัยพอสมควรว่าจำเลยที่ 1-3 มีส่วนกับการชุมนุมหรือไม่ จึงยกผลประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย 1-3

ส่วนกรณีเหตุการณ์ประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจภายหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนตัวไปถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกนั้นเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า การที่กลุ่มผู้ชุมนุมขัดขวางใช้อิฐตัวหนอนขว้างปาเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้จับกุมจำเลยที่ 4-7 โดยจำเลยที่ 4-7 ยังพูดชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้ว่าพวกจำเลยจะนำสืบว่าไม่ได้พูดปลุกระดม แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาโดยกลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้ใช้วัสดุที่อยู่ใกล้ตัวมาป้องกันตัว เห็นว่าการจับกุมเป็นหน้าที่ของตำรวจสามารถจับกุมได้เมื่อเห็นการกระทำผิดซึ่งหน้า และตามพยานหลักฐานที่เป็นภาพบันทึกเหตุการณ์ปรากฏว่า จำเลยที่ 4-7 พูดปราศรัยขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมแกนนำ นปช.โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมใช้เก้าอี้พลาสติกและก้อนอิฐตัวหนอนขว้างใส่เจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่ใช่การป้องกันตัวตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ส่วนที่พวกจำเลยปราศรัยไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายเจ้าหน้าที่นั้น หากพิจารณาพฤติการณ์ตั้งแต่ต้นเปรียบเทียบกันแล้วเห็นว่าคำพูดในส่วนนี้พูดปนกับเร้าให้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ได้มีเจตนาห้ามปรามอย่างจริงจัง แม้จำเลยที่ 4-7 ไม่ได้ลงมือเอง แต่ได้ปราศรัยข้อความชักชวนย่อมถือว่าจำเลยที่ 4-7 มีความผิดฐานยุยงให้ผู้อื่นต่อสู้ขัดขวาง ส่วนจำเลยที่ 1 มีเจ้าพนักงานที่กำลังปฏิบัติการจับกุมเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ใช้อิฐขวางใส่เจ้าหน้าที่และใช้ไม้เสาธงปัดแกว่งไปมา ระหว่างที่ดึงตัวลงจากรถจำเลยที่ 1 ใช้เข่ากระแทกใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจจนมือขวาหัก ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ขณะที่จำเลยที่ 2-3 โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานในฐานนี้

โดยศาลมีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 138 วรรคสอง จำคุก 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 4-7 มีความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ โดยกระทำความผิดเป็นหัวหน้าลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี ฐานเมื่อเจ้าหนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกแต่ไม่เลิก มาตรา 216 จำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี และฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ในทางพิจารณาเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลงโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน และให้จำคุกเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี 4 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 2-3 ริบของกลาง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ