นายปานเทพ ระบุว่า รมว.พลังงานได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อตอนหนึ่งว่า "ที่ผ่านมา ครม.สั่งให้ไปหารือกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่าควรจะแก้ไขกฏหมายอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมา สนช.ส่งตัวแทนส่งที่ปรึกษาซึ่งบางท่านอยู่ใน คปพ.มาประชุมร่วมและเห็นว่า ไม่ต้องแก้ไขกฏหมายเพิ่มอีกจากที่กระทรวงฯ เสนอไป เพียงแต่หากต้องปรับระเบียบอะไร ก็ให้ออกประกาศโดยคณะกรรมการปิโตรเลียมได้"นั้น
เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ขอยืนยันว่าข้อความดังกล่าวนั้นเป็นเท็จ ซึ่งผู้แทนกระทรวงพลังงานได้เชิญผู้แทนจากคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม 2514 และ พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม 2514 ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จำนวน 4 ท่านเข้าร่วมประชุมหารือกันจริง และมีกรรมาธิการฯ 1 ท่านอยู่ในเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ด้วยจริง คือ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี
ทั้งนี้ มล.กรกสิวัฒน์ ได้แจ้งให้ คปพ.ทราบมาตลอดว่า ผลการประชุมผ่านไปหลายครั้ง แต่ผู้แทนกระทรวงพลังงานไม่ตอบสนองในการแก้ไขกฎหมายแม้แต่มาตราเดียวอ้างว่าได้รับนโยบายให้มาชี้แจงทำความเข้าใจ ไม่ได้มีหน้าที่ทบทวนหรือแก้ไขกฎหมายใดๆทั้งสิ้น
จากท่าทีดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นผลทำให้ผู้แทนจากกรรมาธิการฯของ สนช.ทั้ง 4 คน จึงยื่นหนังสือแล้วแถลงในที่ประชุมว่า"ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายของกระทรวงพลังงานทั้งสองฉบับ" พร้อมทั้งขอให้ผู้แทนกระทรวงพลังงานเซ็นรับทราบหนังสือดังกล่าวด้วย แต่ผู้แทนกระทรวงพลังงานกลับแสดงความไม่พอใจและปฏิเสธที่จะเซ็นรับหนังสือดังกล่าว และยังมีข้อสงสัยว่าไปรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแอบอ้างว่าตัวแทนคณะกรรมาธิการฯของ สนช.ซึ่งมีตัวแทน คปพ.เข้าร่วมนั้นเห็นชอบในร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว เพื่อจะมาเป็นเหตุอ้างในความชอบธรรมที่จะนำกฎหมายดังกล่าวทั้ง 2 ฉบับไปผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ด้วยใช่หรือไม่
และโชคดีที่ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ได้บันทึกเทปการประชุมทั้งหมดเอาไว้เป็นหลักฐานแล้วด้วย ดังนั้นหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานนำผลสรุปที่เป็นเท็จเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ก็ต้องรับผิดชอบกับผลของการกระทำนี้ต่อไป และหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบโดยอาศัยการอ้างอิงที่เป็นเท็จก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน