เพื่อไทย เรียกร้องรัฐบาล-คสช.แก้ไขพ.ร.บ.ประชามติ จี้เปิดกว้างแสดงความเห็น

ข่าวการเมือง Thursday April 28, 2016 18:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ รัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ในมาตรา 7 และมาตรา 61 ให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์ อภิปรายแสดงความคิดเห็น และเผยแพร่ความคิดเห็นไม่ว่าจะในทางเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างเต็มที่ หากเป็นไปโดยสุจริตและในทางวิชาการ

นอกจากนั้น คสช. ต้องแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่ง และ/หรือประกาศของหัวหน้า คสช. หรือ คสช.ที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนที่เป็นไปโดยสุจริตและในทางวิชาการ ขณะที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องรีบเผยแพร่ระเบียบปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องยึดเจตนารมณ์ตามมาตรา 7 เป็นสำคัญ และให้ถือว่าการแสดงความคิดเห็น และเผยแพร่ความคิดเห็นของบุคคลโดยสุจริตและในทางวิชาการ เป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

"ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผลประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่จะออกมา สะท้อนความต้องการอันแท้จริงของประชาชน ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย และจะไม่นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งแตกแยกอีกต่อไป" เอกสารแถลงการณ์ ระบุ

พรรคเพื่อไทยเห็นว่า การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญนั้น คือ การนำร่างรัฐธรรมนูญไปขอความเห็นชอบจากประชาชน ซึ่งการตัดสินใจเพื่อแสดงความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบโดยประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นการตัดสินใจว่าจะให้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดเพื่อใช้ในการปกครองประเทศหรือไม่ การออกเสียงประชามติดังกล่าวจึงมีความสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่ง ดังนั้น การออกเสียงประชามติจึงต้องเป็นไปด้วยความถูกต้อง ชอบธรรม โปร่งใส สุจริต และเที่ยงธรรมทุกขั้นตอน ประชาชนต้องมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะได้รับทราบข้อเท็จจริงและความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญจากทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ ทั้งต้องมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนมีโอกาสที่จะรับฟังการอภิปรายถึงข้อดีและข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการออกเสียงประชามติที่ต้องให้ประชาชนได้ทราบเนื้อหา ผลดีและผลเสียของร่างรัฐธรรมนูญให้มากที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจลงคะแนนออกเสียงยอมรับหรือไม่ยอมรับกติกาดังกล่าว ซึ่งถือเป็นหลักการสากลในการทำประชามติ เมื่อพิจารณา พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแล้ว เห็นว่าแม้มาตรา 7 จะให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติไว้ แต่มาตรา 61 ของกฎหมายฉบับนี้กลับกำหนดข้อห้ามที่เข้มงวด ขัดต่อหลักการในมาตรา 7 เสียเอง และยังกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนไว้สูงมาก โดยให้จำคุกถึง 10 ปี นอกจากนี้เนื้อความของกฎหมายยังเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจตีความการกระทำของบุคคลได้อย่างกว้างขวาง จนยากจะเข้าใจได้ว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้

การจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนในการให้ความเห็นและเผยแพร่ความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว นอกจากจะเป็นการปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลของประชาชนแล้ว ยังเป็นการใช้มาตรการทางกฎหมายแบบเผด็จการ เพื่อจำกัดสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน อันขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 4 เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันกลับให้อำนาจแก่รัฐในการที่จะใช้กลไกในระบบราชการทุกรูปแบบเพื่อเข้าถึงประชาชนในการให้ข้อมูลด้านเดียวเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติ ซึ่งแม้จะอ้างว่าเพื่อชี้แจงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ แต่โดยพฤตินัยแล้วก็คือการชี้นำให้มีการรับร่างรัฐธรรมนูญนั่นเอง อนึ่ง คำข่มขู่ของพลเอกประยุทธ์ฯ และพลเอกประวิตรฯ ต่อประชาชนที่แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ได้สร้างความหวาดกลัว และปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน จนไม่มีประโยชน์อันใดที่จะทำประชามติในลักษณะเช่นนี้

ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าว องค์กรทั้งในและต่างประเทศ ต่างได้แสดงความเป็นห่วงถึงการออกเสียงประชามติที่ถูกปิดกั้นครั้งนี้อย่างกว้างขวาง รวมถึงเรียกร้องให้มีการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ, สมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (APHR), สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA), มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CRCF), มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC), มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (Enlaw), ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR), สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.), กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย เป็นต้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ