ศาลอุทธรณ์แก้โทษจำคุก 6 แกนนำพธม. เหลือ 8 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลปี 51

ข่าวการเมือง Monday July 24, 2017 12:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับพวกคนละ 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา กรณีนำกลุ่มผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 51

คดีนี้อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำ พธม. และนายสุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ประสานงานกลุ่ม พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์กรณีบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 358, 362 และ 365

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 6 รายที่นำกลุ่มผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลนานถึง 90 วันนั้น ผู้ชุมนุมไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการโดยทำให้เสียทรัพย์ แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญานั้นถือว่าหนักเกินไป เห็นควรแก้โทษให้เหมาะสม พิพากษาให้จำคุกคนละ 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา

โดยอัยการระบุในคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 ผู้ชุมนุมกลุ่ม พธม.ซึ่งมีจำเลยดังกล่าวเป็นแกนนำได้จัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน เพื่อกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ เป็นต้น

ต่อมานายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน และมีกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7 ต.ค.51 ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค.51 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกได้เคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ใช้เครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบรัฐบาล จนถึงวันที่ 3 ธ.ค.51 พวกจำเลยได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล แล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย

ทั้งนี้ช่วงระหว่างวันที่ 26 ส.ค.-3 ธ.ค.51 ที่พวกจำเลยจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาลซึ่งมีผู้ชุมนุมจำนวนมากได้เหยียบย่ำสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย และยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนาม หน้าตึกไทยคู่ฟ้าและหน้าตึกสันติไมตรี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเล็กโทรนิกส์ของกล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่แกนนำกลุ่ม พธม.ได้จัดชุมนุมปราศรัยและบุกรุกเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นสถานที่ราชการ แม้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปใช้สถานที่ดังกล่าวได้แต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ไม่ใช่จะเข้าออกตามอำเภอใจ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับผู้ชุมนุมนั้นเห็นเป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีเหตุอันรับฟังได้ แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นการเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลเพื่อห้ามปราบผู้ชุมนุมไม่ให้ทำลายทรัพย์สินเสียหาย แม้จะเป็นเจตนาที่ดีแต่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีการห้ามปราบผู้ชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าเป็นการชุมนุมด้วยความสงบตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 63 เนื่องจากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยพร้อมผู้ชุมนุมได้บุกรุกเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาลโดยปีนรั้ว ใช้คีมตัดโซ่คล้องประตู อันทำให้ทรัพย์สินของราชการเสียหาย และเป็นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจกล่าวอ้างบทบัญญัติดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่ามีคนใช้อาวุธสงครามยิงใส่ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจึงต้องเข้าไปหลบอยู่ในทำเนียบรัฐบาลนั้น แต่ในวันที่ 26 ส.ค.51 ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจึงไม่สามารถอ้างเพื่อยกเว้นไม่ให้ต้องรับโทษได้ แม้จำเลยจะมีเจตนาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติก็ถือว่ามีความผิด

การกระทำของจำเลยทั้งหกรายจึงเป็นความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการและร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-6 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 365 อนุมาตราสอง, 362 และ 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดในความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ จำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 2 ปี ซึ่งต่อมาจำเลยทั้งหกรายได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี

โดยในวันนี้ ศาลได้เบิกตัวนายสนธิมาจากเรือนจำกลางคลองเปรม ส่วน พล.ต.จำลอง, นายพิภพ, นายสมเกียรติ, นายสมศักดิ์ และนายสุริยะใส เดินทางมาศาลเนื่องจากได้ประกันตัวไประหว่างอุทธรณ์คดีวงเงินคนละ 200,000 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ