นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องกรณีที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหาและคณะรวม 24 คน ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยถึงความเป็นรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีว่าจะสิ้นสุดลงหลังจากความเป็นรัฐมนตรีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีได้สิ้นสุดลง และวินิจฉัยว่านายชวรัตน์ ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรี จะสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการตามมติครม.เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.51 ได้หรือไม่
คณะตุลาการฯ มีคำสั่งไม่รับคำร้องใน 2 ประเด็นดังกล่าวไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าคำร้องมีลักษณะเป็นการหารือ หรือขอความเห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี ซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
"คำร้องในกรณีนี้มีลักษณะเป็นการหารือ หรือขอความเห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 กรณีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย...ศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย" เลขาธิการฯ ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไปเมื่อวันที่ 9 ก.ย.51 ว่า เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 แล้ว ย่อมเป็นเหตุให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรค 1(1) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว จึงทำให้เฉพาะรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181
ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชนไปเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.51 อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมชาย ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว ดังนั้น รัฐมนตรีที่เหลืออยู่ซึ่งไม่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามของความเป็นรัฐมนตรี จึงต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ามารับหน้าที่