กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา สหรัฐขาดดุลการค้า 4.78 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าเดือนต.ค. 10.4% นับเป็นตัวเลขขาดดุลที่พุ่งขึ้นรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังสูงกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ประเมินไว้ว่า จะขาดดุล 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์
ปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขาดดุลขยายตัวคือ การส่งออกที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน เนื่องจากยอดส่งมอบสินค้าสู่ทวีปยุโรปลดลง
ในทางตรงกันข้าม มูลค่าการนำเข้าสูงสุดในรอบ 6 เดือน อยู่ที่ 2.256 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.3% โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการสั่งซื้อน้ำมันดิบทั้งสิ้นมูลค่า 2.73 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันดิบต่อบาร์เรลปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน จากเดือนต.ค.ที่มูลค่าซื้อน้ำมันดิบอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์
ด้านการนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภคนั้น แม้ว่าจะมีมูลค่าลดลงในเดือนพ.ย. แต่ความต้องการนำเข้าสินค้าทุนกลับเพิ่มขึ้นแตะ 4.38 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม สหรัฐยังได้อานิงสงส์จากประเทศเศรษฐกิจใหม่อย่างจีนที่ยังคงนำเข้าสินค้าสัญชาติอเมริกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจยุโรปไม่รุนแรงจนเกินไปนัก
ส่วนยอดขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นนั้น ขยับขึ้น 0.1% แตะ 6.21 พันล้านดอลลาร์ โดยการนำเข้าลดลง 0.7% แตะ 1.22 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับการส่งออกร่วงลง 1.5% แตะ 6.05 พันล้านดอลลาร์
สำหรับยอดขาดดุลการระหว่างสหรัฐกับจีนนั้น หดตัวลง 4.3% แตะ 2.68 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขาดดุลการค้าโดยรวมของสหรัฐ