ศูนย์วิจัยกสิกรฯ แนะไทยเตรียมรับมือความผันผวนตลาดการเงินโลก จากทุนสำรองฯจีนลด-นโยบายการค้าทรัมป์

ข่าวเศรษฐกิจ Friday January 20, 2017 15:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เมื่อมองภาพตลาดการเงินจีนในปี 59 จนถึงต้นปี 60 ต้องยอมรับว่ามีความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ทางการสหรัฐฯ ส่งสัญญาณถึงโอกาสการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 59 ซึ่งส่งผลให้ทางการจีนต้องเข้ามาจัดการเพื่อลดความผันผวนของตลาด ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม 59 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการที่ทางการจีนมุ่งเน้นที่การดูแลเสถียรภาพของค่าเงินไม่ให้มีการอ่อนค่าในทิศทางที่ชัดเจน การเข้ามาดูแลสภาพคล่องในตลาดการเงินมากขึ้น ตลอดจน การขยายมาตรการออกไปยังตลาด ฮ่องกง เพื่อปิดช่องการเก็งกำไรค่าเงิน ผ่านการแทรกแซงให้อัตราการกู้เงินหยวนในตลาดฮ่องกง (CNH Hibor) เพิ่มสูงขึ้น เพื่อมิให้นักลงทุนสามารถสร้างผลกำไรจากการเก็งกำไรค่าเงินได้

อย่างไรก็ตาม รากของปัญหาที่แท้จริง อันได้แก่ ความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจจีน ซึ่งนำมาสู่ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะหลังนั้น กลับยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งนั่นหมายความว่า ตลาดการเงินจีนจะยังมีโอกาสเผชิญความผันผวนจากปัญหาความเชื่อมั่นอีกเป็นระยะๆ อันบ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่เพิ่มขึ้นได้ในระยะต่อไป โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าตลาดการเงินจีนอาจเข้าใกล้จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า

ทั้งนี้ ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนมีโอกาสจะปรับลดลงในจังหวะที่ค่อนข้างเร่งสู่ระดับต่ำกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และเงินหยวนอาจอ่อนค่าเข้าใกล้ระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์ฯ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยา และจะกระตุ้นให้ตลาดกลับมาผันผวนมากขึ้นอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นปรากฎการณ์ที่อาจเกิดขึ้นใกล้ช่วงเทศกาลตรุษจีนในวันที่ 28-30 ม.ค. 2560 หรือ อาจจะเกิดขึ้นในช่วงที่จีนมีการเปิดเผยข้อมูลระดับเงินสำรองระหว่างประเทศครั้งหน้าในช่วงต้นเดือน ก.พ. 2560 ทั้งนี้ ปัจจุบัน ระดับทุนสำรองฯ ของจีน อยู่ที่ 3.01 ล้านดอลลาร์ฯ (ข้อมูล ณ ธ.ค. 59)

"ทางการจีนคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการดูแลสถานการณ์ความผันผวนของค่าเงินตลอดทั้งปีระกานี้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงตรุษจีนหรือปลายเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ คงเป็นบททดสอบแรกของทางการจีนเนื่องจาก ระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนมีโอกาสที่จะปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ฯ อันเป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยา ซึ่งความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ตามมา อาจนำมาสู่การออกมาตรการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้ายเพิ่มเติมได้" ศูนย์วิจัยกสิกร ระบุ

ดังนั้น เชื่อว่าทางการจีนอาจเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลการไหลเข้า-ออกของเงินทุนเพิ่มเติมภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และลดแรงกดดันจากปัญหาเงินไหลออกต่อเสถียรภาพของทุนสำรองฯ ของจีน หลังจากในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2559 ทางการจีนได้ปรับลดวงเงินโอนเงินออกนอกประเทศของบริษัทจาก 50 ล้านดอลลาร์ฯ เหลือ 5 ล้านดอลลาร์ฯ ตลอดจน เข้มงวดในเรื่องการซื้อกิจการต่างประเทศของบริษัทจีน รวมทั้ง การทำธุรกรรมเกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศผ่านระบบธนาคาร นอกจากนี้ ทางการจีนได้เข้ามาดูแลการลงทุนใน BitCoin แล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เพื่อลดขนาดเงินไหลออกที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ชัดเจน อันสะท้อนผ่านตัวเลขรายการผิดพลาดคลาดเคลื่อนสุทธิ (Net errors and omissions) ในบัญชีดุลการชำระเงิน Balance of Payment ที่ติดลบมากขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ หากมาตราการดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการดูแลภาวะการไหลออกของเงินทุน ทางการจีนอาจจะเพิ่มเติมมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ การจำกัดเงินฝากเงินตราสกุลต่างประเทศ การขออนุญาตนำเข้าทองคำ การขออนุญาตซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ หรือการป้องกันการไหลออกของเงินลงทุนในช่องทางหลบเลี่ยงอื่นๆ เพิ่มเติม

ขณะที่ผลต่อไทย ซึ่งมีความเกี่ยงโยงกับเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมากเผชิญกับความผันผวนอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ทั้งนี้ ผลกระทบต่อไทยอาจจะอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง เนื่องจากทางการจีนยังคงพอมีทรัพยากรในการจัดการให้ตลาดกลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อยู่ รวมทั้ง เสถียรภาพต่างประเทศของไทยก็ยังคงอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี คงต้องเตรียมรับมือรับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะหาก ประธานาธิบดี ทรัมป์ ส่งสัญญาณถึงท่าทีในการดำเนินมาตรการด้านการค้าต่อจีน รวมถึงปฏิกริยาที่ทางการจีนอาจะโต้กลับต่อคำขู่ของสหรัฐฯ อันอาจจะเป็นต้นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนตามมา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางการจีนจะยังมีทรัพยากรในการตีกรอบปัญหาไม่ให้ลุกลามออกไปและเพียงพอที่จะรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนระดับหนึ่งในระยะยาว ทั้งนี้ ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวลมากนัก โดยระดับความมั่นคงของทุนสำรองฯ ขั้นต่ำที่เกินเกณฑ์ของ IMF ที่ควรมีไม่น้อยกว่า 150% ของภาระหนี้ระยะสั้น หรือ ไม่น้อยกว่า 10% ของปริมาณเงินในความหมายกว้าง (M2) นั่นคือ มีระดับทุนสำรองฯ ในปริมาณที่ไม่น้อยกว่า 1.5-2.0 ล้านดอลลาร์ฯ นอกจากนี้ ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 4/59 ที่ขยายตัว 6.8% คงช่วยให้ทางการจีนผ่อนคลายความกังวลจากความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจจะเผชิญการชะลอตัวอย่างรุนแรงหรือ Hard Landing ไปได้ส่วนหนึ่ง แต่คงต้องยอมรับว่าด้วยปัญหาความไม่สมดุลด้านเสถียรภาพที่มีอยู่ ก็มีโอกาสเช่นกันที่ทางการจีนอาจจะเลือกปล่อยให้การปรับตัวของตลาดการเงินเป็นไปอย่างอิสระมากขึ้น(สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอลง รวมทั้ง ลดภาระต้นทุนในการแทรกแซงตลาด) อาทิ การปรับช่วงการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจากปัจจุบันที่ 2.0% ให้สามารถเคลื่อนไหวในกรอบที่กว้างและสอดคล้องกับกลไลตลาดมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่า การดำเนินการในลักษณะดังกล่าว อาจมีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจใช้เป็นประเด็นในการกีดกันทางการค้า หากค่าเงินหยวนปรับอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ หากการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างมีความล่าช้า ก็คงทำให้ตลาดการเงินจีนโดยเฉพาะตลาดอัตราแลกเปลี่ยนถูกท้าทายอยู่เป็นระยะๆ และกลายเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบให้ตลาดการเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชียมีความผันผวนตลอดปีระกานี้ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ