ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย.60 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ 74.9 ลดลงจาก 76.0 ในเดือน พ.ค.60 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 63.3 ลดลงจาก 64.3 ในเดือน พ.ค.60
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 70.0 ลดลงจาก 70.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 91.5 ลดลงจาก 92.7
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน โดยมีปัจจัยลบจากสินค้าเกษตรยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ, ผู้บริโภคกังวลปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูง, ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ส่วนปัจจัยบวก ได้แก่ การส่งออกในเดือน พ.ค.60 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 52 เดือน, ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง, เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน แสดงว่าผู้บริโภคยังเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังฟื้นตัวขึ้นไม่มากนัก โดยผู้บริโภคยังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวนสูง ราคาพืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าว, ยางพารา, มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นโดยรวม อย่างไรก็ดี มองว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 2 เดือนนี้จะเป็นสถานการณ์เพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากขณะนี้แนวโน้มรายได้ของเกษตรกรเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วจากสถานการณ์ราคายางพารา, มันสำปะหลัง, ปาล์มน้ำมันเริ่มปรับตัวดีขึ้น และหากพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในรายไตรมาสจะพบว่าเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน​ ซึ่งในภาพรวมแล้วดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงเป็นขาขึ้น "แม้ดัชนีจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 2 เดือน แต่ก็เป็นสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เพราะขณะนี้รายได้เกษตรกรจากสินค้ายางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เริ่มดีขึ้น...เรามีมุมมองว่าความเชื่อมั่นจะกลับมาจากสินค้าเกษตรที่มีสัญญาณราคาที่ดีขึ้น และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังเป็นขาขึ้น ไม่ทรุดตัวลงไปกว่านี้แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้ความเชื่อมั่นอาจชะลอตัวลงบ้างเล็กน้อย" นายธนวรรธน์ กล่าว พร้อมระบุว่า รัฐบาลควรเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ และเร่งรัดการลงทุนของภาครัฐให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการใช้จ่ายของภาคประชาชนปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้