RealtyTrac Inc. บริษัทวิจัยชื่อดังด้านอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราการยื่นเอกสารยึดบ้านหลุดจำนองในสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งตัวเลขจ้างงานที่ลดลงประกอบกับราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกลงจะยิ่งบั่นทอนสถานการณ์ในตลาดที่อยู่อาศัยให้เลวร้ายลงไปอีก
โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีบ้านกว่า 1.5 ล้านหลังได้รับหมายเตือนเรื่องการยึดบ้านหลุดจำนองจากธนาคาร ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้านี้
ริชาร์ด กรีน ผู้อำนวยการศูนย์ Lusk Center for Real Estate กล่าวว่า "ประชาชนกำลังตกงาน ทำให้รายได้ของพวกเขาลดลงแต่ขณะเดียวกันพวกเขายังต้องส่งเงินกู้จำนองบ้านอยู่เช่นเดิม ซึ่งภาวะเช่นนี้ส่งผลเลวร้ายต่อตลาด"
ด้านโดนัลด์ ฮอริน ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอกล่าวว่า "ผลกระทบจากการยึดบ้านหลุดจำนองจะยังคงสร้างแรงกดดันท่ามกลางภาวะราคาบ้านตกต่ำ และทำให้เจ้าของบ้านเผชิญกับปัญหาในการผ่อนชำระเงินกู้อย่างต่อเนื่อง"
บลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี S&P/Case-Shiller ที่บ่งชี้ราคาบ้านในเมืองใหญ่ของสหรัฐ 20 แห่งปรับตัวลดลง 18.1% ในเดือนเม.ย.จากปีก่อนหน้านี้ ขณะที่อัตราว่างงานในเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นแตะ 9.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2526 ส่งผลให้ยอดคนตกงานเพิ่มขึ้นมาแตะที่ประมาณ 6.5 ล้านคนนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำในเดือนธ.ค.2550
ทั้งนี้ อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ในตลาดซับไพรม์ได้ส่งผลกระทบให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญภาวะถดถอยและลามไปถึงลูกหนี้ชั้นดี ขณะที่ราคาบ้านและยอดขายบ้านตกต่ำลง