ศูนย์วิจัยกสิกรฯ มองแนวโน้มราคามันฯสูงต่อเนื่องจากผลผลิตลด-ดีมานด์เพิ่ม

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday July 27, 2010 17:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นพืชที่มีศักยภาพในอนาคต โดยเป็นทั้งพืชอาหาร วัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ และเป็นพืชที่ใช้ผลิตพลังงานทดแทน ทำให้เป็นพืชที่มีตลาดรองรับอย่างกว้างขวาง

แม้ว่าในระยะสั้นจะประสบกับปัญหาผลผลิตลด จากปัญหาเพลี้ยแป้งและภัยแล้ง ทำให้ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ แต่คาดว่าเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น เนื่องจากยังมีสต็อกของรัฐบาลที่พอจะประคองอุตสาหกรรมต่างๆไปจนถึงต้นฤดูการผลิตปี 53/54 รวมทั้งภาครัฐบาลและเอกชนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเพลี้ยแป้ง

ในระยะยาวคาดว่ากรอบ FTA ต่างๆ จะช่วยผลักดันการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยเฉพาะตลาดจีน และอาเซียน(โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย) รวมทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น นอกจากนี้ ความต้องการเอทานอลที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากโรงงานผลิตเอทานอลบางโรงงานเริ่มหันมาใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังแทนกากน้ำตาล

ศูนย์วิจัยฯ มองว่าปี 53-54 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เนื่องจากปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของเพลี้ยแป้งและปัญหาภัยแล้ง โดยคาดการณ์ว่าในปี 53/54 ผลผลิตมันสำปะหลังมีแนวโน้มลดลงเหลือ 20 ล้านตัน หรือลดลง 8.8% ส่งผลให้ราคาหัวมันมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จาก 1.93 บาท/กิโลกรัม ในช่วงต้นปี 53 เป็น 2.67 บาท/กิโลกรัมในช่วงปลายเดือน มิ.ย.และยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันในบางพื้นที่ราคาแตะ 4 บาท/กิโลกรัม

ขณะที่ปริมาณการผลิตมันสำปะหลังในประเทศมีแนวโน้มลดลง แต่ความต้องการผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพื่อการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในช่วงครึ่งแรกปี 53 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพิ่มขึ้นเป็น 1,222.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 117.7(y-o-y) เนื่องจากการส่งออกไปจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 52 การส่งออกไปจีนชะลอตัว จากการเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากเวียดนาม

ปัจจุบันการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปยังตลาดจีนมีสัดส่วน 56.4% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมด ถ้าพิจารณาแยกผลิตภัณฑ์พบว่ามันเส้นจีนครองสัดส่วนตลาด 99.8% ส่วนแป้งมันจีนครองตลาดเพียง 25.6% ตลาดสำคัญอื่นๆ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย สหรัฐฯ และเกาหลีใต้

ผลจากปัญหาหัวมันสำปะหลังขาดแคลนและราคามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง โรงงานแป้งมันสำปะหลังซื้อวัตถุดิบเท่าที่จำเป็นต่อการส่งออกสำหรับลูกค้าที่ได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไว้แล้ว โรงงานที่เปิดดำเนินการผลิตก็จะลดกำลังการผลิตเหลือเพียง 10-15% ของกำลังการผลิต โรงงานที่ปิดดำเนินการชั่วคราว 30-40% เพื่อประคองตัวรอผลผลิตฤดูการใหม่ที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดในราวเดือน ต.ค.53

"ความต้องการผลิตภัณฑ์ภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยเฉพาะจากตลาดจีนมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทุกระดับตลาด ตั้งแต่ราคาหัวมันสำปะหลังสดที่เกษตรกรขายได้ ไปจนถึงราคาส่งออกเอฟโอบีมันเส้นและแป้งมันมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์"รายงานของศูนย์วิจัยฯ ระบุ

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังขาดแคลน ได้แก่ การระบายสต็อกของรัฐบาล รัฐบาลมีสต็อกมันเส้น 1.2 ล้านตัน ทางคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังแห่งชาติมีมติที่จะแบ่งระบายมันเส้น 200,000 ตัน ผ่านการประมูลในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย

ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 900,000 ตัน ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาแนวทางการระบายระหว่างการเปิดประมูลเป็นการทั่วไป โดยให้ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเข้าร่วมประมูลได้ หรือ ให้เสนอราคาซื้อมันเส้นเป็นรายสัปดาห์เหมือนกับที่เคยดำเนินการระบายมันเส้นในช่วงต้นปี 53

ปัญหาที่น่ากังวลคือ อุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง เนื่องจากสต็อกแป้งมันสำปะหลังของรัฐบาล 140,000 ตันนั้น รัฐบาลขายให้กับ China Marine Shipping Agency Lianyungang Co.Ltd. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจีนไปแล้ว ในราคา 10.67 บาท/กิโลกรัม ขณะนี้อยู่ในระหว่างการรอส่งมอบ ซึ่งถ้าการส่งมอบตามสัญญาก็ควรนำแป้งมันส่วนนี้มาเปิดประมูลใหม่

การนำเข้าในช่วงครึ่งแรกของปี 53 ไทยนำเข้ามันเม็ดมันเส้น 33,119 ตัน มูลค่า 2.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลง 51.2% และ 28.6% (y-o-y) เนื่องจากต้องเผชิญปัญหาการแย่งวัตถุดิบกับเวียดนาม นับเป็นครั้งแรกที่การนำเข้าหดตัว ตั้งแต่ไทยเริ่มนำเข้ามันเม็ดมันเส้นในปี 50 ทั้งปริมาณและมูลค่าการนำเข้ามีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การนำเข้าหัวมันสำปะหลังสดคงทำได้เฉพาะโรงงานแป้งมันที่อยู่แถบชายแดนในจังหวัดจันทบุรีและสระแก้ว ส่วนโรงงานแป้งมันที่ตั้งห่างออกมา การนำเข้านั้นไม่คุ้มค่ากับการขนส่ง

ส่วนการนำเข้าแป้งมันจากต่างประเทศ ในปัจจุบันคงทำได้ยาก เนื่องจากหลายประเทศประสบปัญหาการขาดแคลนแป้งมัน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ต้องหันมานำเข้าแป้งมันจากไทย

ประเด็นที่ต้องพิจารณาสำหรับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในระยะยาว คือ ผลของกรอบ FTA ต่างๆ ซึ่งมีการลด/ยกเลิกภาษีมันเม็ดมันเส้น และแป้งมันสำปะหลังภายใต้กรอบ FTA ต่างๆ คาดว่าส่งผลให้การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปยังตลาดจีน และอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย และมาเลเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ตลาดที่น่าสนใจ คือ ตลาดญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กล่าวคือ เกาหลีใต้ลดภาษีแป้งมันเป็น 0% ตั้งแต่ปี 53 ส่วนผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังภาษี 9% เฉพาะในโควตา 9,600 ตัน/ปี ส่วนตลาดญี่ปุ่นภาษีแป้งมัน 0-8.7% ลดลงเหลือ 0% ในปี 61 ส่วนผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงอัตราไว้ที่ 15%

ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมเอทานอล ปัจจุบันราคากากน้ำตาล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเอทานอล ราคาแพงและมีแนวโน้มขาดแคลน ส่งผลให้โรงงานผลิตเอทานอลปรับตัวหาวัตถุดิบทดแทน ซึ่งวัตถุดิบที่เหมาะสมคือ มันเส้น และ/หรือแป้งมัน รวมทั้งโรงงานเอทานอลที่เปิดดำเนินการใหม่ก็ใช้มันเส้น และ/หรือแป้งมันเป็นวัตถุดิบ ดังนั้นความต้องการมันเส้นและแป้งมันในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ