(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นแต่อาจมีขายทำกำไร เฟดมีแนวโน้มขึ้นดบ.ค่อยเป็นค่อยไป

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 5, 2017 09:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ยังมองเป็นบวกอยู่ เพียงแต่ระหว่างทางอาจจะย่อตัวลงได้บ้างจากแรงขายทำกำไรหลังจากที่ดัชนีฯได้ปรับตัวขึ้นไปมากพอควรแล้ว เนื่องจากรายงานผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงให้เห็นว่าเฟดยังคงจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ก็ปรับตัวขึ้นมา โดยวันนี้อาจได้เห็นกลุ่ม Commodity เข้ามาหนุนตลาดฯ

อย่างไรก็ดี ให้ติดตามตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯในคืนวันศุกร์นี้ ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ วันนี้อาจเป็นวันแรกที่ทางกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จะขายบางส่วนออกมา ซึ่งเฉลี่ยรอบนี้ที่จะขายออกมาก็ประมาณ 5-6 พันล้านบาท ดังนั้น ตลาดฯยังมี Upside เพียงแต่อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง

พร้อมให้แนวรับ 1,558-1,550 จุด ส่วนแนวต้าน 1,570-1,580 จุด

ขณะที่บทวืเคราะห์ของ บล.ทรีนิตี้ มองว่า จากรายงานการประชุมเฟดรอบล่าสุดจะเห็นได้ว่าคณะกรรมการยังคงกังวลกับความไม่แน่นอนของนโยบายการคลังในช่วงถัดไป ซึ่งหมายความว่าจะทำให้นโยบายการเงินของเฟดมีความไม่แน่นอนสูงไปด้วย

อย่างไรก็ดี พอจะคาดเดาได้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ คงจะยังไม่เห็นผลกระทบทางนโยบายการคลังมาสักเท่าไหร่ ซึ่งหมายความว่าเฟดน่าจะยังไม่มีแรงกดดันที่จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 6 เดือนแรกนี้ เราคงมุมมองเดิมว่าด้วยส่วนผสมของคณะกรรมการ FOMC ที่มีมุมมอง Dovish เป็นส่วนใหญ่ จะทำให้เฟดไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเกิน 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรก และไม่เกิน 3 ครั้งตลอดทั้งปี 2560 นี้

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (4 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,942.16 จุด เพิ่มขึ้น 60.40 จุด (+0.30%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,477.00 จุด เพิ่มขึ้น 47.92 จุด (+0.88%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,270.75 จุด เพิ่มขึ้น 12.92 จุด (+0.57%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 7.94 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.88 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 168.17 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 4.40 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.12 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 20.16 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.52 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 20.91 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 ม.ค.60) 1,563.58 จุด เพิ่มขึ้น 20.64 จุด (+1.34%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,222.00 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 ม.ค.60
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (4 ม.ค.60) ปิดที่ 53.26 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.8%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 ม.ค.60) ที่ 6.90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 35.80/82 แนวโน้มยังแข็งค่า ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ
  • ครม.เห็นชอบแก้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน บังคับอายุ 60 ปีเกษียณถือเป็นเลิกจ้าง บีบนายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยสูงสุด 10 เดือน บังคับใช้ พ.ค.นี้
  • กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) ของไทยในเดือน ธ.ค. 2559 เงินเฟ้อมีค่าเท่ากับ 106.93 เพิ่มขึ้น 0.13% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย. 2559 และสูงขึ้น 1.13% เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค. 2558 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 25 เดือน นับจากเดือน พ.ย. 2557 ที่เพิ่มสูงขึ้น 1.26% ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ย ทั้งปี 2559 สูงขึ้น 0.19% เมื่อเทียบกับปี 2558
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (นาโนไฟแนนซ์) ในเดือน ต.ค.59 ว่า มีจำนวนบัญชีผู้ใช้สินเชื่อรวม 4.24 หมื่นบัญชี เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มี 4,134 บัญชี เพิ่มขึ้น 3.83 หมื่นบัญชี หรือ 926% ยอดสินเชื่อคงค้างรวม 1,059 ล้านบาท เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนมียอดสินเชื่อ 74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 985 ล้านบาท หรือ 1,331% เฉลี่ยแล้วได้กู้ประมาณ 2 หมื่นบาท/ราย แม้อัตราการโตจะสูง แต่ยอดสินเชื่อรวมยังต่ำ ทั้งที่โครงการดำเนินมา 2 ปีแล้ว
  • นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริการปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ปี 2560 จะเป็นไปในทิศทางบวกจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่น รวมถึงความชัดเจนทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้ง
  • สถิติการประกอบและขยายกิจการโรงงาน (ร.ง.4) ในช่วง 12 เดือนของปี 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 5,215 โรงงาน ลดลง 4.66% คิดเป็นเงินลงทุน 4.78 แสนล้านบาท ลดลง 21.12% หรือ 1.2 หมื่นล้านบาทเทียบกับปีก่อนมีจำนวนโรงงานทั้งสิ้น 5,470 โรงงาน มูลค่าลงทุน 6.06 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
  • ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (ดับเบิ้ลยูทีโอ) คราวละ 3 ปี (2560-2562) ไม่จำกัดปริมาณ อัตราภาษีนำเข้า 0% และให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบการค้าอื่น ได้แก่ AFTA FTA และ ACMECS ให้เป็นไปตามข้อผูกพัน โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเป็นผู้กำหนดแนวทางและมาตรการบริหารการนำเข้า ซึ่งนายกฯ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาแนวทางการเพิ่มผลผลิตของถั่วเหลือง ด้วยการส่งเสริมการปลูกแบบเกษตรแปลงใหญ่

*หุ้นเด่นวันนี้

  • BANPU (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดกำไร 2560 เติบโตแข็งแกร่ง จากราคาถ่านหินที่สูงขึ้นจนพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร อีกทั้งราคาถ่านหินทุก 5 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จะเพิ่มกำไร 1.5 พันล้านบาท อีกทั้งผลการดำเนินงานปัจจุบันผันผวนน้อยลงจากการมีธุรกิจไฟฟ้า (BPP)
  • UNIQ (ไอร่า)เป้า 30 บาท คาดการเปิดประมูลโครงการต่างๆ ภาครัฐทยอยเกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 60 เบื้องต้นคาดมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.45 ล้านล้านบาท โดย UNIQ มีความสามารถในการทำกำไรโดดเด่นสุดในกลุ่ม แม้ระดับ Backlog และรายได้งานก่อสร้างจะอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับ ITD, CK และ STEC แต่ภายใต้โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างปัจจุบัน 7 โครงการ ทำให้ควบคุมได้ทั้งคุณภาพและต้นทุนส่งผลให้ความสามารถทำกำไรดีและสูงต่อเนื่อง GPM เฉลี่ย 17% และ NPM เฉลี่ยประมาณ 7%
  • ASEFA (กรุงศรี) เป้า 9.3 บาท คาด Backlog ยังแข็งแกร่ง 1.9 พันล้านบาท และคาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ใน Q4/59 จะหนุนให้กำไรสุทธิทั้งปี 59 สูงขึ้น 6% พร้อมประมาณการกำไรปี 60 ของผู้บริหารเป็นไปในทิศทางเดียวกับสมมติฐานของเรา โดยบริษัทได้เลื่อนกำหนดเสร็จของสำนักงานขายใหม่ 10 แห่งทั่วประเทศไปเป็น Q1/60
  • AOT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 460 บาท แม้นักท่องเที่ยวจีนจะลดลงแบบเดือนต่อเดือน 3 เดือนติดต่อกันหลังการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นในเดือน พ.ย.โดยคาดกำไรของ AOT +8% Y-Y เร่งตัวจากปีก่อนที่ +5% Y-Y ส่วนการแตกพาร์เหลือ 1 บาทจาก 10 บาท จะช่วยให้สภาพคล่องหุ้นดีขึ้น (ยังไม่กำหนดวัน รอประชุมผู้ถือหุ้น 27 ม.ค.นี้)
  • LIT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 14 บาท ได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่มีมากขึ้นในปี 60 เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มาจากธุรกิจก่อสร้าง วางระบบ และตกแต่งอาคาร แม้ผู้บริหารจะให้เป้าสินเชื่อและรายได้ปี 60 ในเชิงรุก แต่ไม่น่ากังวลเริ่องเพิ่มทุนเพราะเป้า D/E 4 เท่าทำให้ขยายธุรกิจได้อีกมาก โดยคาดกำไรปีนี้ +24% Y-Y และเชื่อว่าจะรักษาการเติบโตกว่า 20% ได้ถึงปี 63

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ