KTBST มอง SET Index วันนี้รับผลความกังวลปัญหาสหรัฐ-เกาหลีเหนือ แนะถือ/ลดพอร์ตหุ้นใหญ่

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 12, 2017 10:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) ประเมินทิศทางตลาดไทยวันนี้(12 เม.ย.) ว่า ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว จากปัจจัยเสี่ยงที่มีอยู่ในตลาด คาดจะทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน หรือขายเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งจะทำให้ดัชนีฯมีแนวโน้มอ่อนตัวลง

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนแม้จะมองว่าหุ้นที่เป็น Domestic Play จะได้ประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษกิจปีนี้ที่ถูกปรับสูงขึ้น แต่ประเด็นสำคัญไปอยู่ที่ตลาดหุ้นไทยมีวันหยุดยาวและมีความเสี่ยงจากต่างประเทศเข้ามา กลยุทธ์ จะเหมือนกับวันก่อน คือ “ถือ" หรือ ลดพอร์ตลงในหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นมามาก หรือขาดปัจจัยบวกเฉพาะตัว สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิเช่น BBL , PTTEP , CPALL , UNIQ , ESTAR , KCAR

ปัจจัยที่ตลาดกังวลในเวลานี้มากกว่าเรื่องซีเรียคือการที่สหรัฐฯ ส่ง เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson และกองเรือคุ้มกัน ออกจากสิงค์โปร์เพื่อมุ่งหน้าสู่น่านน้ำประเทศเกาหลีเหนือ ตั้งแต่ 8 เม.ย. โดยเหตุผลน่าจะมาจากการที่เกาหลีมีการทดลองนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นภัยคุกคามในภูมิภาคนี้ ตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวลงจากสองวิกฤตการณ์ที่เข้าในเวลาเดียวกัน

KTBST ประเมินว่าจากสถานการณ์ซีเรียกับเกาหลีเหนือ ทำให้นักลงทุนมีความวิตกเพิ่มขึ้น สังเกตุได้จากราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ค่าเงินเยน และราคาทองคำ ซึ่งเป็น 3 มาตรวัดความเสี่ยงของตลาดที่สำคัญนั้นได้ปรับตัวสูงขึ้น ผลต่อตลาดหุ้นไทยจะทำให้นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ ระมัดระวังการลงทุนหรือชะลอการลงทุน ในวันนี้ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย เพราะมีความเสี่ยงหากสถานการณ์รุนแรงกว่าในปัจจุบัน

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ ยังเดินหน้าบวกต่อเนื่องจากผลของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ที่มีแนวโน้มจะต่ออายุโครงการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่ตลาดน่าจะให้ความสนใจในเรื่องการประชุมของคณะกรรมการ Monitoring Committee จะมีการประชุมช่วงปลายสัปดาห์นี้ (17) เพราะจะทราบทั้งกำลังการผลิตว่าอยู่ที่ระดับใดและแนวโน้มในเรื่องการลดกำลังการผลิตหลังจะครบสัญญาในเดือน มิ.ย.ไปแล้ว เรายังมองว่า ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง จากความตึงเครียดดังกล่าว จะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มน้ำมัน (ผู้ผลิตน้ำมัน+โรงกลั่นน้ำมัน)

ส่วนปัจจัยในประเทศด้านเศรษฐกิจไปอยู่ที่นโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการกระตุ้นการลงทุน ที่มีผลต่อหุ้นหลายตัวในตลาด คือกลุ่มนิคมฯและโรงงานอุตสาหกรรม และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากกำลังซื้อและการส่งออกที่สูงกว่าที่เคยคาด แต่แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศจากปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศจะเป็นแรงกดดันต่อตลาด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ