ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม KGI ที่ “A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 23, 2017 16:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ (KGI) ที่ระดับ “A-" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านเสถียรภาพและการกระจายตัวทางธุรกิจของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการสนับสนุนทางธุรกิจที่ชัดเจนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ KGI Securities Co., Ltd. หรือ KGI Group ในประเทศไต้หวัน ซึ่งความแข็งแกร่งดังกล่าวช่วยทำให้บริษัทมีชื่อเสียงในฐานะผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ และมีผลงานเป็นที่ยอมรับจากความสามารถในการทำกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากลักษณะที่ผันผวนและเป็นวงจรขึ้นลงซึ่งเป็นธรรมชาติของธุรกิจหลักทรัพย์ รวมถึงแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรงด้วยเช่นกัน

บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและหลากหลายโดยมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจที่นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์มีสัดส่วนต่ำกว่า 50% ของรายได้รวมของบริษัทเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 68% การขยายฐานรายได้ไปในส่วนที่ไม่ใช่ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ช่วยให้บริษัทมีความพร้อมมากขึ้นในการรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของรายได้รวมในปีก่อนมาจากธุรกรรมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ ธุรกิจการซื้อคืนภาคเอกชน การออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด ตลอดจนการลงทุนของบริษัทในตราสารหนี้และตราสารทุน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแหล่งรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารจัดการกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 99% อีกด้วย รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการกองทุนซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 16% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในปี 2559 ถือว่าเป็นแหล่งรายได้ที่มีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรายได้จากแหล่งอื่น ๆ ในธุรกิจหลักทรัพย์

บริษัทจัดได้ว่าเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในการพัฒนานวัตกรรมสินค้าใหม่ ๆ โดยมีความได้เปรียบจากการนำความรู้ทางวิศวกรรมการเงิน ตลอดจนประสบการณ์ของ KGI Group ในประเทศไต้หวันซึ่งอยู่ในตลาดการเงินที่มีการพัฒนามากกว่ามาใช้ในประเทศไทย การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายช่วยให้บริษัทสามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุนที่มีความต้องการบริการที่แตกต่างกันเข้ามาเป็นลูกค้าของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องให้ล้ำหน้าคู่แข่งเพื่อจะมีโอกาสได้รับอัตราผลกำไรที่สูงก่อนที่จะเกิดการแข่งขันมากขึ้นในตลาด

ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2560 อยู่ที่ระดับ 3.26% โดยอยู่ในลำดับที่ 12 ซึ่งต่ำกว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทที่ 3.76% ในปี 2559 และ 3.88% ในปี 2558 บริษัทมีฐานลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่ในสัดส่วนที่สูงซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราค่านายหน้าค่อนข้างต่ำ ทำให้อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทลดลงจากระดับ 0.15% ในปี 2554-2555 ลงมาอยู่ที่ระดับ 0.10% ในปี 2559 ทั้งนี้ มูลค่าซื้อขายจากลูกค้ารายใหญ่ 20 รายแรกลดลงจาก 43% ของมูลค่าซื้อขายรวมในปี 2558 มาอยู่ที่ระดับ 40% ในปี 2559 (ไม่รวมการซื้อขายในบัญชีของบริษัท) บริษัทยังคงพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ซึ่งมีอำนาจในการต่อรองค่อนข้างสูงในเรื่องอัตราค่าคอมมิชชั่นซึ่งจะมีผลทำให้ส่วนแบ่งตลาดนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทมีความผันผวนมากกว่าคู่แข่ง

การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัททำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม บริษัทก็มีผลงานที่เป็นที่ยอมรับในการทำกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องทุกปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีเงินลงทุนทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุน นอกจากนี้ กำไรจากการลงทุนส่วนใหญ่ยังเกิดจากการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินด้วย อาทิ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด การมีกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมด้วยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเหล่านี้จะมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดไม่สูงนัก สำหรับความเสี่ยงด้านเครดิตนั้น บริษัทมีการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ประมาณ 2,300 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 หรือคิดเป็น 3.7% ของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรม และคิดเป็นประมาณ 40% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท

บริษัทมีผลกำไรสุทธิในปี 2559 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยอยู่ที่ 1,024 ล้านบาท เทียบกับ 588 ล้านบาทในปี 2558 ผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นรายการกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จในธุรกิจใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด และการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนสำหรับบัญชีของบริษัทเอง ณ สิ้นปี 2559 ระดับความเสี่ยงทางการเงินซึ่งวัดจากอัตราส่วนสินทรัพย์ที่ปรับตัวเลขแล้วต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มมากขึ้นมาอยู่ที่ 2.2 เท่า เทียบกับ 1.5 เท่า ณ สิ้นปี 2558 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2559 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 59% ซึ่งเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่ทางการกำหนดไว้ที่ระดับ 7%

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้และยังคงมีรายได้ที่ไม่ได้มาจากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ที่สม่ำเสมอแม้ว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีความผันผวนอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ การลงทุนในหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ ได้

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิต และ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทมีค่อนข้างจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิต และ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถรักษาสถานภาพทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้และไม่สามารถรักษารายได้ที่สม่ำเสมอจากรายได้จากการจัดการกองทุนของบริษัทลูก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ