นักวิเคราะห์ฯประเมินเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นมากขึ้นในช่วงปลาย H2/60 หลังภาพรวมศก.ยังดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 21, 2017 18:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวในงานสัมมนา "เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง และส่อง Fund Flow ตลาดหุ้นไทย" โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังปี 60 เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) จะกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องสภาวะตลาดการเงินโลกชัดเจนขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ระบุว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยคาดไว้เพราะเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้ร้อนแรงอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ เพราะนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐยังไม่สามารถเดินหน้าได้ อาทิ กฎหมายประกันสุขภาพ แผนปฏิรูปภาษี เป็นต้น รวมทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

นอกจากนี้ยังคาดว่า นักลงทุนจะขายทำกำไรออกมาจากตลาดหุ้นอื่น เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย โดยตลาดหุ้น Emerging Market มีผลตอบแทน 33% ช่วงครึ่งปีแรกและคาดว่าจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพราะตลาดหุ้นไทยมี Downside น้อย ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะภาคส่งออกดีต่อเนื่องและมองว่า กลุ่มค้าปลีกจะฟื้นตัว โดยบล.ทิสโก้ คงคาดสิ้นปี 60 ดัชนี SET อยู่ที่ 1,650 จุด และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปีนี้อยู่ที่ 3.6%

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทย มีผลตอบแทน 2% และตลาดแกว่งตัวแคบราว 70 จุด ช่วงครึ่งปีแรกมองกรอบ 1,520-1,590 จุด

“ในช่วงครึ่งปีหลังเห็น Downside น้อย ... ในช่วงตลาดหุ้นไทยอยู่ลักษณะนี้ หุ้น defensive อย่างหุ้นโรงไฟฟ้าเป็นอะไรที่น่าสนใจ มีการเติบโตชัดเจน และในไตรมาส 4 สถานการณ์น่าจะดีขึ้น มองว่าค้าปลีกน่าจะฟื้น รวมทั้งหุ้นกลุ่มเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน “นายไพบูลย์ กล่าว

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) คาดว่า Fund Flow หรือเม็ดเงินต่างชาติจะเข้ามาในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ โดยคาดว่าดัชนี SET จะสามารถยืนเหนือระดับ 1,600 จุดได้โดยมีโอกาสขึ้นไปแตะ 1,650 จุด และจะเข้ามาต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1/61 ที่มีโอกาสเห็น ดัชนี SET ทำจุดสูงสุดใหม่ได้ จากพัฒนาการเศรษฐกิจของไทยดีขึ้นในทุกมิติโดยจะเริ่มเห็นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานมาก่อน

"ในเดือนก.ค และส.ค.ช่วงนี้ภาวะการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติเงียบเหงา ประกอบกับผลประกอบการในไตรมาส 2/60 ของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาไม่ค่อยดี อาทิ ธุรกิจค้าปลีกมียอดขายสาขาเดิมหดตัว และอาจจะชะลอต่อไปถึงไตรมาส 3/60 ได้ ดังนั้นมองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะเข้าเก็บสะสม"

นายปริญญ์ กล่าวว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่รัฐบาลปัจจุบันที่มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีเรื่องไทยแลนด์ 4.0 ที่จะเปลี่ยนการทำธุรกิจของไทย เรื่อง EEC ต้องใช้เวลา 5-10 ปีกว่าจะเห็น แต่หากทำได้จะเป็นการวางโครงสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศไทยแข็งแกร่ง และสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในระยะยาว เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

ฉะนั้นในช่วงนี้จึงเห็นหลาย ๆ บริษัทจดทะเบียนกำลังเปลี่ยนผ่านการทำธุรกิจ และบริษัทที่ออกไปทำตลาดนอกประเทศทั้งระดับอาเซียน ระดับโกลบอล จะสามารถกลับมาเติบโตได้ดี อาทิ TU, TKN, JMART, SAWAD เป็นต้น นอกจากนี้หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จาก EEC ที่คาดว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าจะเกิดขึ้น ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่แค่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ในระยะสั้นได้รับประโยชน์เร็วสุด รวมทั้ง บริษัทที่มีคลังสินค้า ได้แก่ WHA อีกทั้งยังมีหุ้นที่ได้อานิสงส์จากการเข้าสู่สังคมสูงวัย ได้แก่ กลุ่ม wellness กลุ่มโรงพยาบาล เช่น BCH รวมทั้งอุตสาหกรรมสื่อ อาทิ VGI , PLANB ซึ่งคาดว่า 2 เดือนสุดท้ายปีนี้ธุรกิจสื่อโฆษณาน่าจะมาแรง

"นักลงทุนต่างประเทศไม่ได้เป็นห่วงเรื่องตลาดหุ้นไทยเลย แต่เขาห่วงปัญหาเศรษฐกิจและโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทจดทะเบียนและบริษัทนอกตลาดโตช้ากว่าค่าเฉลี่ยและเป็น Feedback กลับมาเห็นการลงทุนน้อยลง ...ภาครัฐมีเรื่องไทยแลนด์ 4.0 มียุทธศาสตร์ 20 ปี มีระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) คนเชื่อว่าเกิดยาก สถาบันต่างชาติก็ไม่เชื่อ แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องระยะสั้น รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เขาเดินมาถูกทางแล้ว แต่สิ่งที่กังวลว่าจะมีการสานต่อนโยบายต่อเนื่องหรือไม่ หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามา” นายปริญญ์ กล่าว

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า Fund Flow เข้าตลาดหุ้นไทยไม่ถึง 10% แต่เข้าตลาดพันธบัตร แต่มองว่า หากส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (bond Yield) กับ ผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยห่างมากขึ้นจะทำให้เม็ดเงินไหลกลับมาตลาดหุ้นได้มากขึ้น โดยขณะนี้มีส่วนต่างประมาณ 4.57% หากเกิน 5% มีโอกาสสูงจะเข้าย้ายเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้น โดยตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นจะไม่เห็นอะไรหวือหวา แต่ตลาดพร้อมขึ้นมากกว่าลง แนะให้นักลงทุนทยอยลงทุน เพราะเสริมความรู้เรื่องการลงทุนให้มากขึ้นเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันนักลงทุนเอง เลือกตัวเล่นที่เป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐาน มีการจ่ายเงินปันผลดี รวมทั้งให้ปรับวิธีการเล่นระยะสั้นเป็นระยะกลางระยะยาวมากขึ้น และคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นทำนิวไฮ ได้ในรอบนี้ หลังจากที่ SET เคยขึ้นไปทำจุดสุงสุดที่ 1,753 จุดในเดือนม.ค.2537

“คาดครึ่งปีหลัง จะกลับมาเล่นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล กองทุน Property ก็น่าสนใจมีอัตราผลตอบแทน 6-7% ..ดูส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรกับผลตอบแทนหุ้น ถ้ายังห่างต่างชาติก็ยังไม่เข้า “ นายเทิดศักดิ์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ