สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ได้สรุปราคาขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 45 บาทต่อหุ้น จากช่วงราคาที่ตั้งไว้เบื้องต้นที่ 40-45 บาทต่อหุ้น โดยจะเสนอขายจำนวนไม่เกิน 533.30 ล้านหุ้น
ระยะเวลาจองซื้อ สำหรับบุคคลทั่วไป ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ และบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับบริษัท กำหนดจองซื้อในวันที่ 17 และ 20-21 พ.ย.60 ส่วนผู้ลงทุนสถาบัน (รวมถึงผู้ลงทุนในต่างประเทศ และนักลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ผ่านผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchasers)) กำหนดจองซื้อวันที่ 23-24 และ 27 พ.ย.60
โดยมีผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คือ บล.กสิกรไทย, บล.ไทยพาณิชย์, บล.บัวหลวง
ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ GULF เปิดเผยว่า หลังจากที่ GULF ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นของหุ้น IPO ที่ 40-45 บาทต่อหุ้น โดยเปิดให้นักลงทุนทั่วไปได้จองซื้อที่ราคา 45 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาเสนอขายสูงสุดของช่วงราคาเบื้องต้น พร้อมทั้งทำการสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) พบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศได้แสดงความต้องการซื้อหุ้น IPO ที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 45 บาท เกินกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้ให้แก่นักลงทุนสถาบันสูงถึง 18 เท่า จึงได้กำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายที่ราคา 45 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่านักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความมั่นใจในวิสัยทัศน์ของผู้บริหารและพื้นฐานการดำเนินงานของบริษัทในธุรกิจไฟฟ้าที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ประกอบกับบริษัทยังมีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเตรียมทยอยจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่องอีกหลายโครงการ ที่ผลักดันให้ GULF เป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ของไทยที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น
สำหรับกำหนดวันเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกนั้น คาดว่าจะเป็นวันที่ 6 ธ.ค.60 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "GULF"
ด้านนางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ GULF กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งมั่นบริหารงานเพื่อดำเนินแผนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี ปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมทั้งสิ้น 4,772.1 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติอีกหลายโครงการ โดยตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งอีก 6,353.6 เมกะวัตต์ ภายในปี 67