สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากรัฐบาลสหรัฐคาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) จะเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 10 ในเดือนต.ค.
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 43 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 49.48 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 34 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 55.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงหลังจากผลสำรวจการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 3.4 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่า ผลผลิต shale oil ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเกือบ 79,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 6.1 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนต.ค.
นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน หลังจากนายจาบาร์ อัล-ลูไอบี รัฐมนตรีพลังงานของอิรักเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า สมาชิกกลุ่มโอเปกกำลังพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ซึ่งรวมถึงข้อเสนอการขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตออกไปจนถึงปลายปี 2561
ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาพายุเฮอร์ริเคนในสหรัฐ โดยศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐ (NHC) รายงานว่า พายุเฮอร์ริเคน "มาเรีย" ได้เคลื่อนตัวมุ่งสู่หมู่เกาะเวอร์จิ้นของสหรัฐ และเปอร์โตริโกแล้วเมื่อวานนี้ หลังจากที่ได้พัดกระหน่ำโดมินิกา ซึ่งเป็นประเทศเกาะขนาดเล็กในทะเลแคริบเบียน และสร้างความเสียหายอย่างหนัก
พายุเฮอร์ริเคนมาเรียได้ทวีความรุนแรงเป็นเฮอร์ริเคนระดับ 5 โดยมีความเร็วลม 160 ไมล์/ชม. ขณะที่อยู่ห่างจากหมู่เกาะเวอร์จิ้นไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 205 ไมล์ โดยพายุเฮอร์ริเคนมาเรียได้ก่อตัวขึ้นในทะเลแคริบเบียน เพียง 2 สัปดาห์หลังจากที่พายุเฮอร์ริเคนเออร์มาเพิ่งพัดถล่ม และสร้างความเสียหายในบริเวณดังกล่าว