“ทิสโก้” คาดเงินบาทกลับทิศสู่การอ่อนค่า หลัง 7 เดือนแรกติดอันดับแข็งค่ามากสุดสกุลหนึ่งของโลก

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 21, 2017 09:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป กูรูทิสโก้ชี้ทิศค่าเงินบาทช่วงเหลือของปีนี้มีโอกาสกลับมาอ่อนค่า หลัง 7เดือนแรกแข็งค่า 8% ติดอันดับโลกสกุลเงินแข็งค่ามากสุดสกุลหนึ่งของโลก เผย 3 ปัจจัยกดบาทกลับทิศ คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืบหน้า, ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยมีแนวโน้มลดลง, เงินต่างชาติไหลกลับ คาดสิ้นปีเงินบาทแตะ 35.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobpol, Head of Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2560 ที่ผ่านมาค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเกือบ 8% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นค่าเงินที่มีอัตราการปรับแข็งค่ามากที่สุดสกุลหนึ่งของโลก สวนทางกับการประเมินของนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักที่คาดว่าค่าเงินบาทจะปรับตัวอ่อนค่าลงในปีนี้ อย่างไรก็ดี ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ประเมินว่าปัจจัยต่างๆ ที่สนับสนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาน่าจะทยอยอ่อนกำลังลง และเงินบาทน่าจะกลับมาอ่อนค่าลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากปัจจัย 3 ประการ คือ ประการแรก ความคืบหน้าในการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้น โดยคาดว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์จะกลับมาอยู่ในความสนใจของตลาดอีกครั้งในช่วงเดือน ต.ค. เนื่องจากร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีจะเริ่มเข้าสู่การพิจารณาของสภา "เราประเมินว่ากฎหมายปฏิรูปภาษีน่าจะได้รับเสียงสนับสนุนและผ่านสภาได้ง่ายกว่ากฎหมายประกันสุขภาพ เนื่องจากได้รับเสียงสนับสนุนจากภาคธุรกิจและประชาชนในวงกว้าง ซึ่งความคืบหน้าของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีดังกล่าวน่าจะเป็นแรงสนับสนุนให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 4" นายคมศรกล่าว สำหรับ ประการที่สอง ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดในช่วงครึ่งปีแรก เป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทแข็งค่า อาจมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังตามการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จะเริ่มต้นขึ้น ประการสุดท้าย กระแสเงินทุนต่างประเทศ (ฟันด์โฟลว) ของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทยเป็นจำนวนกว่า 2 แสนล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 2560 อาจมีความเสี่ยงที่จะไหลกลับตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางหลักของโลก ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าเฟดจะประกาศลดขนาดงบดุลในเดือน ก.ย. นี้ และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่คาดว่าจะประกาศลดอัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์ผ่านมาตรการQE ลงในเดือน ต.ค. นี้ ซึ่งแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของ 2 ธนาคารกลางหลักอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดโลก จุดชนวนให้เกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ จากปัจจัยข้างต้นศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ คาดว่าสิ้นปี 2560 ค่าเงินบาทจะแตะ 35.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ