คต. จัดสัมมนา “FTA : โอกาสของสินค้าไทยในอาเซียน/อินเดีย/ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์” ณ จังหวัดสงขลา

ข่าวทั่วไป Wednesday May 12, 2010 16:21 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 พ.ค.--คต. นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศ (คต.) ได้จัดสัมมนาเรื่อง “FTA : โอกาสของสินค้าไทยในอาเซียน/อินเดีย/ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์” เมื่อวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2553 ณ ห้องสุคนธาฮอลล์ ชั้น 6 โรงแรมโนโวเทลเซ็นทารา หาดใหญ่ จังหวัดสงขลาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการและผู้สนใจได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากความตกลง ตลอดจนมาตรการและความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี (กองทุน FTA) ซึ่งการสัมมนา ดังกล่าวมีผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกในจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง ให้ความสนใจเข้ารับฟังการสัมมนาในครั้งนี้กว่า 150 คน โดยที่จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจจังหวัดหนึ่งของภาคใต้ ที่มีโครงสร้าง พื้นฐานรองรับการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจ มีท่าเรือขนส่งระหว่างประเทศ ทำให้สงขลาเป็นจุดศูนย์กลางธุรกิจของภาคใต้ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเขตการค้าเสรี หรือ FTA ที่หาดใหญ่ใน ครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการที่จะเสริมศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ สามารถขยายการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การค้าชายแดนของไทยที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซียทางตอนเหนือ 4 รัฐคือ รัฐเปอร์ลิส รัฐเคดาห์ รัฐเปรัค และรัฐกลันตัน สามารถใช้ประโยชน์ภายใต้ เขตการค้าเสรีได้อย่างสูงสุด เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ได้ลดภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็นศูนย์แล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 โดยสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ จะเป็นฐานการผลิตและเป็นตลาดเดียวกันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC) ในปี 2558 หรือในอีก 5 ปี ข้างหน้า อาเซียนจึงนับเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย โดยในปี 2552 มีมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และหากพิจารณาในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553 (ม.ค. — ก.พ.) ไทยส่งออกภายใต้ AFTA มีมูลค่า 1,940 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่า 1,128 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 71.89 สินค้าที่ไทยส่งออกโดยใช้สิทธิภายใต้ AFTA สูงได้แก่ รถยนต์ รถปิกอัพ เครื่องจักร แป้งมันสำปะหลัง เครื่องปรับอากาศ ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ ตู้เย็น และแชมพู เป็นต้น สำหรับตลาดอาเซียนที่ไทยส่งออกโดยใช้สิทธิพิเศษฯ สูง 3 อันดับแรก คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม นอกจาก อาเซียนแล้ว ไทยยังได้ทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - อินเดีย (ASEAN- India Free Trade Agreement : AIFTA) โดยมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ไทยได้ทำ FTA สองฝ่ายกับอินเดีย แต่ครอบคลุมสินค้าเพียง 82 รายการ ที่สองประเทศเห็นว่าควรจะเร่งลดภาษีเป็นศูนย์ก่อน การที่ไทยได้ขยายการทำความตกลง FTA เป็นอาเซียน- อินเดีย โดยครอบคลุมสินค้ากว่า 4,700 รายการ จึงนับเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายการค้า เนื่องจากอินเดียเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรกว่าพันล้านคน โดยในปี 2552 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 4,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และหลังจากความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-อินเดีย มีผลบังคับใช้ มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553 (ม.ค. — ก.พ.) มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 1,165 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่า 591 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 96 สินค้าสำคัญที่จะได้รับประโยชน์ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์และของใช้ตกแต่งบ้าน อัญมณีและเครื่องประดับ ด้ายและเส้นใยสังเคราะห์ เป็นต้น สำหรับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area : AANZFTA) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เปิดตลาดเพิ่มมากขึ้น/เร็วขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีศักยภาพในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองเท้า กระเป๋าหนัง ชิ้นส่วนยานยนต์ เคมีภัณฑ์และอุปกรณ์ไฟฟ้า เมื่อเปรียบเทียบกับการเปิดตลาดภายใต้ FTA ไทย-ออสเตรเลีย และ ไทย-นิวซีแลนด์ นอกจากนี้ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกที่จะนำเข้าวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำจาก 12 ประเทศ คือ อาเซียน 10 ประเทศและออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาขอใช้สิทธิภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ได้ รองอธิบดี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2553 กรมการค้าต่างประเทศมีโครงการที่จะเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โดยการจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการในการใช้สิทธิประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการที่ประเทศคู่ค้าได้เปิดตลาดภายใต้ความตกลง FTA ต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ผู้ประกอบการและผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการสัมมนาได้ที่ www.dft.go.th หรือสอบถามที่สำนักสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ ผ่านทางสายด่วน 1385

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ