แท็ก
สำนักนายกรัฐมนตรี
นายสาวิตต์ โพธิวิหค รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้ชี้แจงกรณีการจัดสรรเงินกู้มิยาซาวาแพลน ที่มี จำนวนมากมายมหาศาลถึง 53,000 ล้านบาท ที่จะมีการเบิกจ่ายกัน ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ซึ่งรัฐบาลได้จัดทำกันอย่าง เร่งรีบ ทำให้หลายคนเกรงกันว่าการจัดสรรเงินจะมีการรั่วไหล และทางรัฐบาลจะมีวิธีป้องกันปัญหานี้อย่างไร เพื่อจะให้ได้ ตามเป้าที่กำหนดเอาไว้ นายสาวิตต์ กล่าวว่า "ครับเรื่องนี้ผมจะขอขยายความให้ชัดเจนว่า เม็ดเงิน ในโครงการมิยาซาวาแพลนเงินทั้งหมดนี้ทางรัฐบาลจัดสรรกู้มาเพื่อใช้ในการกร ะตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น คำว่า กระตุ้นเศรษฐกิจนั้น เราต้องการให้เม็ดเงินนั้นออกเร็ว และในขณะเดียวกันโครงการก็ต้องเป็นโครงการ ที่ลง ไปถึงมือประชาชนที่เดือดร้อนคนยากจนก็ดี คนที่ตกงานก็ดี อันนี้เป็นเรื่องที่เราพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเรื่องนี้ต่อไปครับ แต่ทีนี้โครงการต่าง ๆ นั้น ในหลักเกณฑ์ที่ผมได้กล่าวแล้ว ทางรัฐบาลได้จัดสรรผ่าน กระทรวงต่าง ๆ และก็โครงการนั้น ผ่านสำนักงบประมาณ พิจารณาโครงการในเบื้องต้น แล้วก็ทางกระทรวง กำลังไตร่ตรองอยู่วิเคราะห์อยู่ขั้นสุดท้ายก่อนนำเสนอสำนักงบประมาณวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ แล้วจะนำเสนอ ไปยังคณะรัฐมนตรีพิจารณาวันที่ 30 มีนาคม นี้
สำหรับลักษณะของโครงการที่ว่าจะนำไปใช้ในท้องถิ่น ประการแรก จะต้องใช้ในโครงการที่ใช้แรง งาน ประมาณ ร้อยละ 30 เป็นอย่างน้อย ธนาคารโลกเขากำหนดไว้ว่าเราต้องใช้เงินประมาณ 20,000 ล้านบาท ใน 53,000 ล้านนี้ เพื่อจ้างงานโดยตรง ตรงนี้ก็จะนำไปสู่ เช่นโครงการที่ช่วยให้คนที่อยู่ในท้องถิ่นมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็แล้วแต่ แทนที่จะใช้เครื่องจักร ก็เป็นการจ้างงานมีส่วนประกอบ ร้อยละ 30 เป็น อย่างน้อย จะขุดบ่อทำฝาย ทำคลองก็แล้วแต่ ตรงนี้ทางฝ่าย ท้องถิ่นจะเป็นผู้กำหนด โครงการในระดับที่เป็น เงิน หรือ อบต. แต่ถ้าเกิดเป็นเงินของกระทรวงแล้ว จะเป็นโครงการที่ต้องพิจารณา โดยคณะรัฐมนตรี อนุมัติ ในกรอบด้วยในวันที่ 30 ครับ ดังนั้นงานอีกด้านหนึ่งก็เป็นงานสำหรับ คนที่มีการศึกษา ตรงนี้ก็อาจจะว่าจ้าง ไปทำเก็บข้อมูล เพื่อทำการวิเคราะห์อะไรต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ หรือทางสังคม ที่ส่วนราชการจะต้องดำเนิน การต่อไปด้วย ส่วนที่จัดสรรเอาไว้ สำหรับที่จะสงเคราะห์เด็กและคนชรานั้น อย่างคนชราในปัจจุบันนี้ รัฐบาล สนับสนุนเงินประมาณ วันละ 200 บาทอาจจะเพิ่มเป็นวันละ 300 บาท ตรงนี้ก็ ยอดเงินงวดใหม่ที่จะ เพิ่มขึ้นให้กับการที่จะไปดูแลคนชราเป็นต้น ดังนั้นตรงนี้ก็จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนชราดีขึ้น ค่าใช้จ่ายที่ เกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียน ก็จะเพิ่มยอดขึ้นมาให้จากที่เคยมีอยู่ เพิ่มเป็นอีกส่วนหนึ่ง ภายใต้ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในระยะเวลาปีสองปีเป็นต้น อย่างนี้ก็จะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น เช่นเดียวกัน
ส่วนที่ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นเขาได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิ จ คือสงเคราะห์เด็กและคนชรา โดยแจก คูปองให้ฟรีไปช้อปปิ้ง แล้วก็ไปจับจ่ายซื้อของเอาเองแทนเงินสด เราคงไม่ถึงอย่างนั้นนะครับ เราเพียงแต่จะ ไปเสริมโครงการของ กระทรวง ทบวง กรม ที่มีอยู่แล้ว จำกัดแต่เพิ่มวงเงินเพิ่มเติมให้สำหรับค่าใช้จ่ายของ เด็กก็ดี คนชราก็ดี ตรงนี้เองก็จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนที่อยู่ในหมวดหมู่ กลุ่มเป้าหมายพวกนี้ดีขึ้นโดยได้ รับจัดสรรเงินเพิ่มเติมในโครงการที่มีอยู่ ไม่ใช่เป็นการตั้งโครงการใหม่ตรงนี้ครับ
ส่วนหลายฝ่ายได้แสดงความวิตกกังวลกันมากว่าเม็ดเงินจำนวนม หาศาล ระยะเวลาในการพิจารณา โครงการก็ค่อนข้างจะสั้นก็คือพยายามที่จะเร่งรีบ ให้เร็วที่สุด มันจะเกิดปัญหา การรั่วไหลเราป้องกันปัญหา อย่างนี้ครับผมเรียนให้ทราบว่าเป้าหมายก็มี 2 ด้านนะครับ
1. เงินต้องออกเร็ว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้คนมีงานทำ มีรายรับเกิดขึ้น แล้วทำให้เงินนี้หมุนเวียน
ในระบบ
2. ต้องทำให้รอบครอบรัดกุมแล้วโปร่งใส
ดังนั้นในการดำเนินการตามโครงการนี้ ทางรัฐบาลจะใช้วิถีทาง ทางงบประมาณทั้งสิ้น ดังนั้นแม้กระ ทั้งเป็นเงินนอกงบประมาณ สำนักงบประมาณจะเป็นผู้กำกับดูแลในการเบิกจ่าย ในเรื่องขั้นตอนการวิเคราะห์ ในการพิจารณางวดที่จะนำไปเสนอต่อกรมบัญชีกลาง วิธีการนี้ทุกหน่วยราชการ เข้าใจดี เราก็จะมีการตรวจ สอบ โดย สตง. สำนักงานตรวจเงินแผนดินนั้นเอง ในการดำเนินงานทำสัญญาว่าจ้างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ ประมูลก็ดี หรือจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้างก็ดี เราจะใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นวิธีการที่ตรวจสอบได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นวิธีการนี้เป็นวิธีการที่หน่วยราชการเข้าใจดีอยู่แล้วครับ
ส่วนประเด็นที่เป็นห่วงกันมากอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการทำโครงการ ขีดความสามารถในการใช้จ่ายเงินของ อบต. ซึ่งแต่ละหน่วย อบต. นั้นจะได้รับการจัดสรรหน่วยละ 1,000,000 บาท ซึ่งห่วงกันว่าเงินที่จัดสรรไปให้ อบต. อาจจะไปเข้ากระเป๋าของผู้รับเหมาเสียมากกว่าที่จะไปถึงชาวบ้าน ผมเรียนอย่างนี้นะครับ เงินที่จะมีการจัดสรรไปให้สภาตำบล และ อบต.นั้น เป็นยอดเงินที่จะแตกต่างกันไป ประมาณสัก อบต.ละ 1,000,000 บาท เป็นต้นแต่จะมีเงื่อนไขกำกับไปด้วยว่า จะเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง เช่น ค่าบริหารจัดการของ อบต. ไม่เกินเท่าไร ยอดที่จะเอาไปใช้เพื่อแรงงานเท่าไรประเภท หรือโครงการ เช่น เรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำ เศรษฐกิจชุมชน ของพวกนี้จะมีใบกำกับไปด้วย ว่าเงินที่ได้รับไปจากกระทรวง มหาดไทย ต้องใช้ในโครงการประเภทใด ภายใต้ เงื่อนไขอะไร ตรงนี้เองทางฝ่ายจังหวัด ฝ่ายอำเภอก็ต้องมี การตรวจสอบด้วยครับ
แล้วในที่สุดผมเชื่อว่าในทางปฏิบัติ เราจะต้องไปดูกลุ่มเป้าหมายได้ และการดำเนินการนั้นจะทำให้ โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกโครงการ ตรงนี้กำลังจะพิจารณาร่วมกับ ฝ่ายเลขานุการว่า ทำอย่างไรถึงจะให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้ ในการรับทราบตรวจสอบ ผมกำลังพิจารณาว่า จะทำ Home page ในเรื่องนี้ แล้วก็ทุกโครงการที่มีการจัดสรรเรื่องนี้ สามารถ ค้นคว้าตรวจสอบได้ผ่านอินเตอร์เน็ต ตรงนี้กำลังหารือกัน อยู่ครับ
ส่วนที่คิดว่าชาวบ้านจะไม่เข้าใจวิธีการที่จะเข้ามาในระบบ อินเตอร์เน็ตนั้น ตรงนี้คงจะเป็นเรื่องของ นักวิชาการ คนที่ติดตามอยู่ในเมืองต่าง ๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ชาวบ้านเองก็ต้องรับฟังข่าวจากกลไกของ รัฐ หรือของคนในท้องถิ่น แต่ตรงนี้เองเราจะเปิดกว้างออกไป ไม่ใช้ว่าจะต้องเป็นเอกสาร อยู่ในแฟ้มของ ทางราชการ แล้วขอมาเป็นชุด ซึ่งไม่เห็นภาพรวม ในขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวสื่อมวลชน ต่าง ๆ ก็สามารถหา ข้อมูลตรงนี้ได้ทุกโครงการ ผมก็มาคิดว่าเป็นมิติใหม่เพราะไม่ เคยทำมาก่อนในประเทศไทยแต่อันนี้เป็นเรื่อง ที่กำลังหารือกันอยู่ ว่าจะทำได้หรือไม่
ส่วนที่กล่าวว่าเป็นที่น่าสังเกตว่า กระทรวงมหาดไทยได้รั บการจัดสรรมาก ที่สุดเกือบ 20,000 ล้านก็ ประมาณ 40% ของโครงการทั้งหมดมีส่วนหนึ่งก็จะจัดสรรไปให้ อบต. อีกส่วนหนึ่ง จะจัดสรรไปให้ ใช้จ่าย ในโครงการเศรษฐกิจชุมชน ผมเรียนอย่างนี้นะครับ เรื่องตัวโครงการจริง ๆ ตัวผมเองก็ยังไม่ได้ดูในราย ละเอียดว่า มีการจัดสรรเงินผ่านสำนักงบประมาณไปยังกระทรวง ทบวง กรม
ขณะนี้ซึ่งกำลังทบทวนอยู่ สำหรับกระทรวงมหาดไทยก็ได้รับไป 18,000 และ 7,400 ล้านนั้น ไปสู่สภาตำบล และ อบต. อีกประมาณ 11,000 เป็นของกระทรวงมหาดไทยที่จะกระจายไปตามทุกจังหวัด และทุกกรมของกระทรวงมหาดไทยเท่าที่ ผมทราบก็จะมีเรื่องการจ้างงาน เรื่องเศรษฐกิจชุมชน เรื่องการปรับปรุงคุณภาพชีวิต และโครงการพวกนี้ต้อง มีคุณสมบัติว่าเบิกได้เร็วหน่วยงานมีความพร้อม แล้วก็ในขณะเดียวกันไม่ใช่งบประมาณผูกพัน ในเรื่องนี้นั้น ในหลักเกณฑ์อันนี้ กระทรวงต่าง ๆ กำลังพิจารณาโครงการทั้งหมด แล้วก็รวมกันหมดเป็น ร้อย ๆ โครงการ ดังนั้นวันที่ 30 นี้ หลังจากผ่านครม.แล้ว ผมจะนำบัญชีทุกโครงการประกาศให้ประชาชนทราบ และก็จะ สามารถติดตามผลของแต่ละโครงการได้ด้วยครับ
เมื่อเรา ดำเนินการตามโครงการที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เราหวังว่า 3 เดือนจากเมษายนไปแล้ว 3 เดือน แรก อาจจะมีวงเงิน ออกไปได้ถึงระบบเศรษฐกิจประมาณสัก 20,000 ล้านบาท อีก 3 เดือนจะรวมกันทั้งหมด ประมาณ 40,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามผมหวังว่า การเบิกจ่ายเงินจะออกไปได้ร้อยละ 8 ภายในปีปฏิทินนี้นะ ครับก็ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท อย่างน้อย แล้วข้ามไปปีหน้าอาจจะเหลือบ้างนิดหน่อย พยายามใช้จ่ายตาม หลักเกณฑ์แต่ให้เร็วที่สุด มีการตรวจสอบได้ ตรงนี้ก็เป็นเม็ดเงินที่เข้าไปสู่ระบบ ทำให้คนที่ตกงานทำกันมาก มีรายรับ เข้าสู่กระเป๋าชาวบ้าน แล้วก็ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอย ในระบบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจน่าจะมีการหมุน เวียนมากขึ้น เพราะว่าตรงนี้เป็นเงินกู้จากต่างประเทศไม่ได้เอาเงินจากระบบเข้ามา หมุนเวียนอย่างเดียว ตรง นี้ ตัวคูณอาจจะเพิ่มขึ้นได้จาก 50,000 ล้านบาทอาจจะเป็น 100,000 กว่าล้านบาทซึ่งจะเพิ่มขึ้นสู่ระบบเศรษฐกิจ ตรงนี้น่าจะช่วยให้ระบบเศรษฐฟื้นได้ ประกอบกับมาตรการอื่นที่ทางรัฐบาลกำลังเตรียมอยู่ตอนนี้นะครับ."--จบ--
สำหรับลักษณะของโครงการที่ว่าจะนำไปใช้ในท้องถิ่น ประการแรก จะต้องใช้ในโครงการที่ใช้แรง งาน ประมาณ ร้อยละ 30 เป็นอย่างน้อย ธนาคารโลกเขากำหนดไว้ว่าเราต้องใช้เงินประมาณ 20,000 ล้านบาท ใน 53,000 ล้านนี้ เพื่อจ้างงานโดยตรง ตรงนี้ก็จะนำไปสู่ เช่นโครงการที่ช่วยให้คนที่อยู่ในท้องถิ่นมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็แล้วแต่ แทนที่จะใช้เครื่องจักร ก็เป็นการจ้างงานมีส่วนประกอบ ร้อยละ 30 เป็น อย่างน้อย จะขุดบ่อทำฝาย ทำคลองก็แล้วแต่ ตรงนี้ทางฝ่าย ท้องถิ่นจะเป็นผู้กำหนด โครงการในระดับที่เป็น เงิน หรือ อบต. แต่ถ้าเกิดเป็นเงินของกระทรวงแล้ว จะเป็นโครงการที่ต้องพิจารณา โดยคณะรัฐมนตรี อนุมัติ ในกรอบด้วยในวันที่ 30 ครับ ดังนั้นงานอีกด้านหนึ่งก็เป็นงานสำหรับ คนที่มีการศึกษา ตรงนี้ก็อาจจะว่าจ้าง ไปทำเก็บข้อมูล เพื่อทำการวิเคราะห์อะไรต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ หรือทางสังคม ที่ส่วนราชการจะต้องดำเนิน การต่อไปด้วย ส่วนที่จัดสรรเอาไว้ สำหรับที่จะสงเคราะห์เด็กและคนชรานั้น อย่างคนชราในปัจจุบันนี้ รัฐบาล สนับสนุนเงินประมาณ วันละ 200 บาทอาจจะเพิ่มเป็นวันละ 300 บาท ตรงนี้ก็ ยอดเงินงวดใหม่ที่จะ เพิ่มขึ้นให้กับการที่จะไปดูแลคนชราเป็นต้น ดังนั้นตรงนี้ก็จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนชราดีขึ้น ค่าใช้จ่ายที่ เกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียน ก็จะเพิ่มยอดขึ้นมาให้จากที่เคยมีอยู่ เพิ่มเป็นอีกส่วนหนึ่ง ภายใต้ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในระยะเวลาปีสองปีเป็นต้น อย่างนี้ก็จะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น เช่นเดียวกัน
ส่วนที่ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นเขาได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิ จ คือสงเคราะห์เด็กและคนชรา โดยแจก คูปองให้ฟรีไปช้อปปิ้ง แล้วก็ไปจับจ่ายซื้อของเอาเองแทนเงินสด เราคงไม่ถึงอย่างนั้นนะครับ เราเพียงแต่จะ ไปเสริมโครงการของ กระทรวง ทบวง กรม ที่มีอยู่แล้ว จำกัดแต่เพิ่มวงเงินเพิ่มเติมให้สำหรับค่าใช้จ่ายของ เด็กก็ดี คนชราก็ดี ตรงนี้เองก็จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนที่อยู่ในหมวดหมู่ กลุ่มเป้าหมายพวกนี้ดีขึ้นโดยได้ รับจัดสรรเงินเพิ่มเติมในโครงการที่มีอยู่ ไม่ใช่เป็นการตั้งโครงการใหม่ตรงนี้ครับ
ส่วนหลายฝ่ายได้แสดงความวิตกกังวลกันมากว่าเม็ดเงินจำนวนม หาศาล ระยะเวลาในการพิจารณา โครงการก็ค่อนข้างจะสั้นก็คือพยายามที่จะเร่งรีบ ให้เร็วที่สุด มันจะเกิดปัญหา การรั่วไหลเราป้องกันปัญหา อย่างนี้ครับผมเรียนให้ทราบว่าเป้าหมายก็มี 2 ด้านนะครับ
1. เงินต้องออกเร็ว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้คนมีงานทำ มีรายรับเกิดขึ้น แล้วทำให้เงินนี้หมุนเวียน
ในระบบ
2. ต้องทำให้รอบครอบรัดกุมแล้วโปร่งใส
ดังนั้นในการดำเนินการตามโครงการนี้ ทางรัฐบาลจะใช้วิถีทาง ทางงบประมาณทั้งสิ้น ดังนั้นแม้กระ ทั้งเป็นเงินนอกงบประมาณ สำนักงบประมาณจะเป็นผู้กำกับดูแลในการเบิกจ่าย ในเรื่องขั้นตอนการวิเคราะห์ ในการพิจารณางวดที่จะนำไปเสนอต่อกรมบัญชีกลาง วิธีการนี้ทุกหน่วยราชการ เข้าใจดี เราก็จะมีการตรวจ สอบ โดย สตง. สำนักงานตรวจเงินแผนดินนั้นเอง ในการดำเนินงานทำสัญญาว่าจ้างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ ประมูลก็ดี หรือจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้างก็ดี เราจะใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นวิธีการที่ตรวจสอบได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นวิธีการนี้เป็นวิธีการที่หน่วยราชการเข้าใจดีอยู่แล้วครับ
ส่วนประเด็นที่เป็นห่วงกันมากอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการทำโครงการ ขีดความสามารถในการใช้จ่ายเงินของ อบต. ซึ่งแต่ละหน่วย อบต. นั้นจะได้รับการจัดสรรหน่วยละ 1,000,000 บาท ซึ่งห่วงกันว่าเงินที่จัดสรรไปให้ อบต. อาจจะไปเข้ากระเป๋าของผู้รับเหมาเสียมากกว่าที่จะไปถึงชาวบ้าน ผมเรียนอย่างนี้นะครับ เงินที่จะมีการจัดสรรไปให้สภาตำบล และ อบต.นั้น เป็นยอดเงินที่จะแตกต่างกันไป ประมาณสัก อบต.ละ 1,000,000 บาท เป็นต้นแต่จะมีเงื่อนไขกำกับไปด้วยว่า จะเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง เช่น ค่าบริหารจัดการของ อบต. ไม่เกินเท่าไร ยอดที่จะเอาไปใช้เพื่อแรงงานเท่าไรประเภท หรือโครงการ เช่น เรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำ เศรษฐกิจชุมชน ของพวกนี้จะมีใบกำกับไปด้วย ว่าเงินที่ได้รับไปจากกระทรวง มหาดไทย ต้องใช้ในโครงการประเภทใด ภายใต้ เงื่อนไขอะไร ตรงนี้เองทางฝ่ายจังหวัด ฝ่ายอำเภอก็ต้องมี การตรวจสอบด้วยครับ
แล้วในที่สุดผมเชื่อว่าในทางปฏิบัติ เราจะต้องไปดูกลุ่มเป้าหมายได้ และการดำเนินการนั้นจะทำให้ โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกโครงการ ตรงนี้กำลังจะพิจารณาร่วมกับ ฝ่ายเลขานุการว่า ทำอย่างไรถึงจะให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้ ในการรับทราบตรวจสอบ ผมกำลังพิจารณาว่า จะทำ Home page ในเรื่องนี้ แล้วก็ทุกโครงการที่มีการจัดสรรเรื่องนี้ สามารถ ค้นคว้าตรวจสอบได้ผ่านอินเตอร์เน็ต ตรงนี้กำลังหารือกัน อยู่ครับ
ส่วนที่คิดว่าชาวบ้านจะไม่เข้าใจวิธีการที่จะเข้ามาในระบบ อินเตอร์เน็ตนั้น ตรงนี้คงจะเป็นเรื่องของ นักวิชาการ คนที่ติดตามอยู่ในเมืองต่าง ๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ชาวบ้านเองก็ต้องรับฟังข่าวจากกลไกของ รัฐ หรือของคนในท้องถิ่น แต่ตรงนี้เองเราจะเปิดกว้างออกไป ไม่ใช้ว่าจะต้องเป็นเอกสาร อยู่ในแฟ้มของ ทางราชการ แล้วขอมาเป็นชุด ซึ่งไม่เห็นภาพรวม ในขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวสื่อมวลชน ต่าง ๆ ก็สามารถหา ข้อมูลตรงนี้ได้ทุกโครงการ ผมก็มาคิดว่าเป็นมิติใหม่เพราะไม่ เคยทำมาก่อนในประเทศไทยแต่อันนี้เป็นเรื่อง ที่กำลังหารือกันอยู่ ว่าจะทำได้หรือไม่
ส่วนที่กล่าวว่าเป็นที่น่าสังเกตว่า กระทรวงมหาดไทยได้รั บการจัดสรรมาก ที่สุดเกือบ 20,000 ล้านก็ ประมาณ 40% ของโครงการทั้งหมดมีส่วนหนึ่งก็จะจัดสรรไปให้ อบต. อีกส่วนหนึ่ง จะจัดสรรไปให้ ใช้จ่าย ในโครงการเศรษฐกิจชุมชน ผมเรียนอย่างนี้นะครับ เรื่องตัวโครงการจริง ๆ ตัวผมเองก็ยังไม่ได้ดูในราย ละเอียดว่า มีการจัดสรรเงินผ่านสำนักงบประมาณไปยังกระทรวง ทบวง กรม
ขณะนี้ซึ่งกำลังทบทวนอยู่ สำหรับกระทรวงมหาดไทยก็ได้รับไป 18,000 และ 7,400 ล้านนั้น ไปสู่สภาตำบล และ อบต. อีกประมาณ 11,000 เป็นของกระทรวงมหาดไทยที่จะกระจายไปตามทุกจังหวัด และทุกกรมของกระทรวงมหาดไทยเท่าที่ ผมทราบก็จะมีเรื่องการจ้างงาน เรื่องเศรษฐกิจชุมชน เรื่องการปรับปรุงคุณภาพชีวิต และโครงการพวกนี้ต้อง มีคุณสมบัติว่าเบิกได้เร็วหน่วยงานมีความพร้อม แล้วก็ในขณะเดียวกันไม่ใช่งบประมาณผูกพัน ในเรื่องนี้นั้น ในหลักเกณฑ์อันนี้ กระทรวงต่าง ๆ กำลังพิจารณาโครงการทั้งหมด แล้วก็รวมกันหมดเป็น ร้อย ๆ โครงการ ดังนั้นวันที่ 30 นี้ หลังจากผ่านครม.แล้ว ผมจะนำบัญชีทุกโครงการประกาศให้ประชาชนทราบ และก็จะ สามารถติดตามผลของแต่ละโครงการได้ด้วยครับ
เมื่อเรา ดำเนินการตามโครงการที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เราหวังว่า 3 เดือนจากเมษายนไปแล้ว 3 เดือน แรก อาจจะมีวงเงิน ออกไปได้ถึงระบบเศรษฐกิจประมาณสัก 20,000 ล้านบาท อีก 3 เดือนจะรวมกันทั้งหมด ประมาณ 40,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามผมหวังว่า การเบิกจ่ายเงินจะออกไปได้ร้อยละ 8 ภายในปีปฏิทินนี้นะ ครับก็ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท อย่างน้อย แล้วข้ามไปปีหน้าอาจจะเหลือบ้างนิดหน่อย พยายามใช้จ่ายตาม หลักเกณฑ์แต่ให้เร็วที่สุด มีการตรวจสอบได้ ตรงนี้ก็เป็นเม็ดเงินที่เข้าไปสู่ระบบ ทำให้คนที่ตกงานทำกันมาก มีรายรับ เข้าสู่กระเป๋าชาวบ้าน แล้วก็ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอย ในระบบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจน่าจะมีการหมุน เวียนมากขึ้น เพราะว่าตรงนี้เป็นเงินกู้จากต่างประเทศไม่ได้เอาเงินจากระบบเข้ามา หมุนเวียนอย่างเดียว ตรง นี้ ตัวคูณอาจจะเพิ่มขึ้นได้จาก 50,000 ล้านบาทอาจจะเป็น 100,000 กว่าล้านบาทซึ่งจะเพิ่มขึ้นสู่ระบบเศรษฐกิจ ตรงนี้น่าจะช่วยให้ระบบเศรษฐฟื้นได้ ประกอบกับมาตรการอื่นที่ทางรัฐบาลกำลังเตรียมอยู่ตอนนี้นะครับ."--จบ--