เอริก ชมิดต์ อดีตซีอีโอกูเกิล ร่วมเสวนาอย่างเป็นกันเอง ในการประชุมปัญญาประดิษฐ์โลก ประจำปี 2568

ข่าวต่างประเทศ Friday August 1, 2025 10:04 —Asianet Press Release

เอริก ชมิดต์ อดีตซีอีโอกูเกิล ร่วมเสวนาอย่างเป็นกันเอง ในการประชุมปัญญาประดิษฐ์โลก ประจำปี 2568

การประชุมปัญญาประดิษฐ์โลก ประจำปี 2568

ในการประชุมปัญญาประดิษฐ์โลก (WAIC) ประจำปี 2568 เอริก ชมิดต์ (Eric Schmidt) อดีตซีอีโอกูเกิล (Google) ได้ร่วมสนทนาเจาะลึกอย่างเป็นกันเองกับแฮร์รี ชัม (Harry Shum) อดีตรองประธานบริหารของไมโครซอฟท์ (Microsoft) โดยเน้นพูดคุยกันเรื่องปัญหาท้าทายและโอกาสต่าง ๆ ในการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระดับโลก

แฮร์รี ชัม เริ่มต้นด้วยการเชิญให้คุณชมิดต์แสดงมุมมองเกี่ยวกับสถานะการพัฒนา AI ในจีน โดยคุณชมิดต์ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาท้าทายที่เร่งด่วนที่สุดในการกำกับดูแล AI ในระดับโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องการเข้าถึงโมเดล แต่เป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครตกลงกันได้ว่า "ใครจะเป็นผู้กำหนดขอบเขตการใช้งาน" ชมิดต์เน้นย้ำว่าปัญหาหลักของการเผยแพร่เทคโนโลยีคือ เราควรจะวางขอบเขตความปลอดภัยไว้ที่ใด ด้วยความที่ระบบขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นแบบโอเพนซอร์สหรือแบบปิด ต่างแพร่หลายอย่างรวดเร็ว การสร้างกลไกความปลอดภัยที่บังคับใช้ได้จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากนานาชาติอย่างเร่งด่วน

คุณชมิดต์ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับโอกาสความร่วมมือด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนว่า การทำงานร่วมกันต้องอยู่บนพื้นฐานของเป้าหมายร่วมกัน โดยเฉพาะในประเด็นความเสี่ยงสูง เช่น อาวุธที่ควบคุมด้วย AI, การจำลองตัวเอง หรือการเรียนรู้แบบอิสระ ชมิดต์ชี้ว่าการหยุดพัฒนาคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะสิ่งจำเป็นคือต้องมีการหารือกันอย่างจริงจังว่าจะทำอย่างไรให้มนุษย์ยังคงควบคุมได้ เรื่องนี้ต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนเชิงลึกร่วมกัน ไม่ใช่การตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว

เมื่อแฮร์รี ชัม ได้ขอให้คุณชมิดต์แสดงมุมมอง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมแบบเปิดมาอย่างยาวนาน ชมิดต์ก็ให้มุมมองเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการเปิดกว้างและการเผยแพร่เทคโนโลยีว่า โมเดลชั้นนำของจีนจำนวนมากใช้แนวทางแบบโอเพนเวต (Open Weight) และโอเพนซอร์ส ซึ่งแม้ระบบเปิดจะช่วยเร่งให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกันได้ แต่คุณชมิดต์ยอมรับว่าสิ่งนี้ก็ทำให้ระบบเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ง่ายขึ้น เพราะข้อจำกัดที่ตั้งไว้ตอนแรกอาจถูกถอดออกไปได้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ดี ชมิดต์ยังคงสนับสนุนให้ใช้แนวทางแบบเปิดต่อไป โดยมองว่า ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั่วโลกในการพัฒนากลไกป้องกันให้รัดกุมยิ่งขึ้น เขายังตั้งข้อสังเกตอีกว่า แม้จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ด้าน AI ในระดับนานาชาติมากขึ้น แต่ปัญหาพื้นฐานที่ยังคงอยู่คือการขาดมาตรการป้องกันที่สามารถบังคับใช้ได้จริง ในระยะยาวนั้น ชมิดต์เชื่อว่าควรฝึกฝน AI ให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายตั้งแต่ต้น โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า "Alignment" เพื่อปลูกฝังคุณค่าของมนุษย์ลงไป ทำให้โมเดลไม่สามารถละเมิดสิ่งเหล่านั้นได้ตั้งแต่กำเนิด

เมื่อมองย้อนถึงประเด็นการแข่งขันและความร่วมมือของประเทศต่าง ๆ นั้น คุณชมิดต์ได้เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาทำงานในกูเกิล ซึ่งมีการแข่งขันอย่างดุเดือดกับไมโครซอฟท์และแอปเปิ้ล (Apple) โดยเขามองว่าการแข่งขันในลักษณะนี้คือแรงผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในระบบนิเวศ และหลักการนี้ก็นำมาปรับใช้กับนานาประเทศได้เช่นกัน ชมิดต์ย้ำว่าสองประเทศที่มีบทบาททางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลกอย่างสหรัฐฯ และจีน ควรต้องร่วมมือกันในเรื่องการกำกับดูแล AI เพราะต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันในการช่วยรักษาเสถียรภาพของโลก ป้องกันสงคราม และทำให้มนุษย์ยังคงควบคุมเครื่องมืออันทรงพลังเหล่านี้ไว้ได้

การเสวนาครั้งนี้ปิดท้ายด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับรากฐานทางจริยธรรมในการกำกับดูแล AI ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดหลักในหนังสือที่ชมิดต์ร่วมเขียนกับเฮนรี คิสซินเจอร์ (Henry Kissinger) และเครก มันดี (Craig Mundie) ในชื่อ Genesis: Artificial Intelligence, Hope, and the Human Spirit (ปฐมบท: ปัญญาประดิษฐ์ ความหวัง และจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์) โดยเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เน้นย้ำว่า หากมนุษย์ไม่มีกรอบจริยธรรมร่วมกันแล้ว เราก็อาจสูญเสียการควบคุมทิศทางของเทคโนโลยีไป

ที่มา: การประชุมปัญญาประดิษฐ์โลก ประจำปี 2568


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ