สภาถ่านหินแห่งชาติออกรายงานฉบับใหม่ในนามรัฐมนตรีพลังงานสหรัฐ ในหัวข้อ "การสร้างความเท่าเทียมสำหรับเทคโนโลยีการดักจับและจัดเก็บคาร์บอน"

ข่าวต่างประเทศ Friday November 13, 2015 17:18 —ข่าวประชาสัมพันธ์พีอาร์นิวส์ไวร์

วอชิงตัน--13 พ.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์ สภาถ่านหินแห่งชาติ (National Coal Council - NCC) เปิดเผยรายงานฉบับใหม่ที่เรียกร้องให้มีการสร้างความเท่าเทียมในการใช้เทคโนโลยีการดักจับและจัดเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage - CCS) ที่ภาคอุตสาหกรรม ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติใช้งานในเชิงพาณิชย์ รายงานสมุดปกขาวดังกล่าวนำเสนอข้อแนะนำในการสร้าง "ความเท่าเทียมด้านนโยบาย" สำหรับ CCS เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ด้านนโยบายพลังงานที่มีความหลากหลาย ตลอดจนพิจารณาตรวจสอบบทบาทของการพัฒนาพลังงานสะอาด ซึ่งรวมถึงถ่านหิน ผู้เขียนรายงานได้นำเสนอการวิเคราะห์ช่องว่างที่ระบุความแตกต่างระหว่างแนวโน้มในปัจจุบันของ CCS กับความจำเป็นในการผลักดันความคืบหน้าของเรื่องนี้ รายงานสมุดปกขาวฉบับนี้จัดทำขึ้นตามคำขอของนายเอิร์นเนสต์ โมนิซ รัฐมนตรีพลังงานของสหรัฐ ก่อนจะถึงการประชุม U.N. Conference of Parties ในกรุงปารีสช่วงปลายเดือนนี้ โดย NCC ได้รับอนุญาตจัดตั้งในปี 1984 ภายใต้กฎหมาย Federal Advisory Committee Act (FACA) เพื่อให้คำปรึกษา จัดหาข้อมูล และจัดทำข้อเสนอแนะต่อรัฐมนตรีพลังงานของสหรัฐ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและเทคโนโลยีถ่านหิน "ถ่านหินจะยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในการผลิตไฟฟ้าในสหรัฐและทั่วโลกไปอีกหลายทศวรรษ" นายเจฟฟ์ วอลเลซ ประธานของ NCC และอดีตรองประธาน Fuel Services for Southern Companyกล่าว "โลกต้องการ CCS เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม และ CCS นำเสนอโอกาสที่ดีที่สุดในการดักจับ ใช้ และจัดเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมากจากเชื้อเพลิงฟอสซิล" ประมาณ 87% ของพลังงานทั่วโลกนั้นได้มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และจนถึงขณะนี้ ถ่านหินยังคงเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีปริมาณสำรองมากที่สุด ถ่านหินเป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้า 44% ของโลก รายงานแนวโน้มพลังงาน BP Energy Outlook 2035 ระบุว่า ถ่านหินจะยังคงเป็นเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับการผลิตไฟฟ้าในปี 2035 โดยคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของพลังงานไฟฟ้า ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าถ่านหินมากกว่า 2,200 แห่งทั่วโลกที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างหรือมีแผนที่จะก่อสร้าง เกลนน์ เคลโลว์ ประธานการจัดทำรายงานของ NCC และประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Peabody Energy อธิบายว่า กระทรวงพลังงานของสหรัฐประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยี CCS มาตั้งแต่แรกเริ่ม อย่างไรก็ดี การเพิ่มการสนับสนุนนั้นมีความจำเป็นในการผลักดัน CCS ไปสู่ระดับพาณิชย์ "เราเชื่อว่าข้อเสนอแนะในรายงานฉบับนี้จะนำมาซึ่งความก้าวหน้าที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมเทคโนโลยีที่สำคัญนี้ในเชิงพาณิชย์ และจะช่วยเป็นแนวทางการตัดสินใจเกี่ยวกับโรงงานทั่วโลกที่จะเปิดดำเนินการในหลายปีข้างหน้านี้" เคลโลว์กล่าว "รายงานฉบับนี้กล่าวถึงหนทางไปสู่การปล่อยมลพิษเกือบเป็นศูนย์ (near-zero emissions) ซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้นำทั่วโลกว่ามีความจำเป็นสำหรับการบรรลุเป้าหมายคาร์บอน" ข้อเสนอแนะในรายงานฉบับนี้ ได้แก่: 1. สิ่งจูงใจทางการเงิน: ต้องมีการเพิ่มสิ่งจูงใจทางการเงินสำหรับ CCS อย่างมีนัยสำคัญและในวงกว้าง เพื่อให้รวมไปถึงสิ่งจูงใจสำหรับแหล่งพลังงานสะอาดอื่นๆด้วย สิ่งจูงใจควรได้รับการเน้นย้ำและวางแผนโดยคำนึงว่า CCS เป็นเทคโนโลยีที่ยังไม่สมบูรณ์ เช่นเดียวกับพลังงานลมและแสงอาทิตย์ในช่วงทศวรรษ 1990 ที่มีความเสี่ยงเริ่มต้นและต้นทุนสูง ดังนั้น ความเสี่ยงด้านทุนจึงจะต้องลดลง ขณะที่ลิ่งจูงใจในการดำเนินงานมีความสำคัญต่อการรับประกันกระแสรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว และลดต้นทุนโดยตรงต่อผู้บริโภค 2. การปรับปรุงระเบียบข้อบังคับ: จำเป็นต้องมีการจัดทำแผนงานด้านการกำกับดูแลฉบับแรกเพื่อขจัดอุปสรรคในการก่อสร้างและพัฒนาโครงการ CCS แผนงานนี้จะต้องนำไปใช้กับโรงไฟฟ้าและสถานที่ดักจับคาร์บอนได้ และควรจะใช้ได้กับภาคการขนส่งและการฉีด 3. การวิจัย การพัฒนา และการสาธิต: กระทรวงพลังงานของสหรัฐต้องกระตุ้นให้มีโครงการสาธิตในเชิงพาณิชย์เพิ่มมากขึ้น โครงการดังกล่าวจะต้องเริ่มต้นในทันที NCC เชื่อว่าสหรัฐอเมริกาควรจะกำหนดเป้าหมายในการเริ่มดำเนินโครงการเชิงพาณิชย์ขนาด 5-10 กิกะวัตต์ภายในปี 2025 และการพัฒนาต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ 4. การสื่อสารและความร่วมมือ: กระทรวงพลังงานของสหรัฐต้องสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของสหรัฐและทั่วโลก ตลอดจนผู้ถือผลประโยชน์รายอื่นๆว่า ในหลายทศวรรษข้างหน้านี้จะมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลสูงกว่าในปัจจุบันอย่างมาก ซึ่งเป็นเหตุให้ CCS มีความจำเป็น กระทรวงพลังงานสหรัฐควรริเริ่มความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการเชิงพาณิชย์ขนาด 5-10 GW ในทันที นอกเหนือไปจากโครงการในสหรัฐเอง ในการประเมินความเท่าเทียมด้านนโยบายสำหรับ CCS นั้น ทาง NCC ตั้งข้อสังเกตว่า พลังงานหมุนเวียนของสหรัฐได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเป็น 12 เท่าของถ่านหินในปี 2013 ทั้งที่เชื้อเพลิงฟอสซิลผลิตพลังงานถึง 79% ในสหรัฐ ขณะที่พลังงานหมุนเวียนมีสัดส่วนเพียง 11% เจเน็ต เจลลีซี รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของ NCC กล่าวว่า NCC มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการพัฒนาการศึกษาและรายงานซึ่งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี CCS ให้บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของโลกในระดับสูง เจลลีซีกล่าวว่า รายงานสมุดปกขาว Leveling the Playing Field ของ NCC เป็นรายงานฉบับที่ 10 ว่าด้วยนโยบายและเทคโนโลยีการจัดการคาร์บอนที่ทางสภาฯได้จัดเตรียมให้แก่รัฐมนตรีพลังงานของสหรัฐมาตั้งแต่ปี 2000 สำหรับประธานการจัดทำรายงานทางเทคนิคของ NCC และผู้เขียนนำได้แก่ เฟรด เอเมส จากบริษัท Hunton & Williams โดยมี เจเน็ต เจลลีซี เป็นผู้เขียนร่วม สมาชิกของสภาฯได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีพลังงานของสหรัฐ และไม่ได้รับค่าตอบแทน สามารถขอรับรายชื่อสมาชิกสภาฯ จากสำนักงาน NCC ได้ทางอีเมล info@NCC1.org หรือโทร. 202-756-4524

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ