ผลการศึกษาบ่งชี้ ยา SPIRIVA ช่วยให้การทำงานของปอดในผู้ป่วยโรค COPD ฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday September 6, 2006 13:12 —Asianet Press Release

มิวนิค--6 ก.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์-เอเชียเน็ท/อินโฟเควสท์
การศึกษาแนวโน้มเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของยา SPIRIVA ในผู้ป่วยโรค COPD ระยะเริ่มแรก ซึ่งอยู่ภายใต้การวินิจฉัยและมีผลกระทบโดยรวมต่อผู้ใหญ่ 1 ใน 10 คนทั่วโลก
ผลการศึกษาซึ่งมีการนำเสนอในที่ประชุมประจำปีของสมาคมโรคทางเดินหายใจแห่งยุโรป (ERS) ในวันนี้ บ่งชี้ว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) แบบไม่รุนแรง ที่รับการรักษาด้วยยา SPIRIVA (tiotropium) ทำให้การทำงานของปอดฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยยาที่ไม่ออกฤทธิ์โดยทั่วไป (placebo) ผลการศึกษาแนวโน้มครั้งแรกนี้มุ่งเน้นที่ผู้ป่วยที่เป็นโรค COPD แบบไม่รุนแรง ซึ่งเป็นการยืนยันถึงประสิทธิภาพของยา SPIRIVA ว่าเป็นองค์ประกอบที่เฉพาะเจาะจงที่ทำให้โรค COPD เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
ยา SPIRIVA ซึ่งเป็นการรักษาทางการแพทย์ที่ออกฤทธิ์ต่อต้านสาร acetycloine (anticholinergic) ด้วยการสูดเข้าทางปอดเพื่อหวังผลในระยะยาวนั้น ถือเป็นการบำบัดรักษาด้วยวิธีการสูดเข้าปอดครั้งแรกที่ช่วยให้การทำงานของปอดฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้ขนาดยาวันละครั้ง ทั้งนี้ ยา SPIRIVA มีผลในด้านบวกต่อผลการรักษาโรค COPD ทางการแพทย์ โดยช่วยเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ได้ และยาตัวนี้ถูกสั่งให้มีการใช้งานมากที่สุดในด้านการรักษาโรค COPD ทั่วโลก
"การวิจัยฉัยในเบื้องต้นและการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่เป็นโรค COPD ในระยะที่ยังไม่ร้ายแรง ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและไม่ทำให้อาการเลวร้ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยยังคงมีความกระฉับกระเฉง" ดร.กันนาร์ โยฮานสัน แพทย์ประจำสำนักงานสาธารณสุขและวิทยาการด้านการดูแลผู้ป่วย มหาวิทยลัยอัพพ์ซาลา ประเทศสวีเดน และเป็นผู้นำในการศึกษาครั้งนี้กล่าว "ผลการศึกษาครั้งนี้บ่งชี้ว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรค COPD แบบไม่รุนแรง จะได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการรักษาด้วยยา SPIRIVA"
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หากเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาที่ไม่ออกฤทธิ์โดยทั่วไปแล้ว :
--ยา SPIRIVA สามารถฟื้นฟูส่วน FEV1 ภายใต้แนวโค้ง (AUCO-2h) ได้ 8.4%, p<0.0001
--SPIRIVA สามารถฟื้นฟูจุด FEV1 ได้ 6%, p<0.0001
การฟื้นตัวปรากฏขึ้นในเวลา 30 นาที หลังจากใช้ยา SPIRIVA โดสแรก และการฟื้นตัวยังคงสภาพอยู่ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง และระยะเวลาการศึกษาในช่วง 12 สัปดาห์
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง(COPD) เป็นอาการเจ็บป่วยในระบบทางเดินหายใจอีกระดับที่ เป็นสาเหตุให้เกิดการเสื่อมของระบบการทำงานในปอดและระบบหายใจเรื้อรัง (4) COPD ในระยะที่ไม่รุนแรงและระดับรุนแรงปานกลางส่วนมากมักไม่ค่อยได้รับการรักษา ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมากมักมีอาการผิดปกติเช่น หายใจลำบาก (5) ผู้ป่วยกว่า 600 ล้านคนทั่วโลกมักเป็นโรคนี้ ซึ่งคาดกันว่าจะมีผู้เป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ป่วยถึงแก่ชีวิตเป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2563 (6,7) ขณะนี้นักวิเคราะห์เปิดเผยว่าประชากรเกือบ 1 ใน 10 มักเป็น COPD ในระดับที่ไม่รุนแรง (8)
มีการประมาณการณ์ว่าจะมีผู้ที่เป็นโรค COPD โดยไม่ได้รับการรักษาเพิ่มขึ้น โดยคิดเป็นชาวอเมริกัน 50% และชาวยุโรป 75% (9,10)
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นภาระหนักต่อสังคมและตัวบุคคล แต่โรคดังกล่าวสามารถรักษาและจัดการได้หากตรวจพบแต่เนิ่นๆ" ดร. ไมค์ มอร์แกน โฆษกของสมาคมปอดอังกฤษ กล่าว "ผลการศึกษาครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆและการรักษาสำหรับทุกคนที่ป่วยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรได้รับโอกาสในการรักษาเพื่อคงระดับการทำกิจกรรมและคุณภาพชีวิตไว้ให้อยู่ในระดับสูง"
หมายเหตุถึงบรรณาธิการ
การศึกษาได้รับการสนับสนุนจากบริษัท โบเออร์ริงเกอร์ อิงเกลไฮม์ และไฟเซอร์ อิงค์
-- FEV1 (ปริมาณการหายใจเต็มกำลังใน 1 วินาที) หมายถึง ปริมาณอากาศที่สามารถหายใจออกอย่างเต็มกำลังและรวดเร็วในวินาทีแรกจากการเริ่มการหายใจออก FEV1 ลดลงในคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และเป็นมาตรการหลักของการทำงานปอดที่ใช้ในการยืนยันการวินิจฉัยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง การระบุปัจจัยความเสี่ยงและอาการ ซึ่งใช้เครื่องวัดปริมาณความจุอากาศของปอดที่มีการวัดทางการแพทย์
-- FVC (ความสามารถของอวัยวะ) หมายถึง ปริมาณอากาศสูงสุดที่จะหมดลงอย่างเต็มกำลังและรวดเร็วหลังจากหายใจเข้าสูงสุด
-- ค่าเฉลี่ยของ FEVI ถึง FVC แสดงเป็นรูปของเปอร์เซ็นต์และให้ดัชนีที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการจำกัดการไหลเวียนของอากาศ ซึ่งจะลดลงเมื่อทางเดินหายใจถูกสกัดกั้น
เกี่ยวกับ SPIRIVA (R)
SPIRIVA (R) เป็นการใช้ยาการรักษาทางการแพทย์ที่ออกฤทธิ์ต่อต้านสาร acetycloine (anticholinergic) ด้วยการสูดเข้าทางปอดเพื่อหวังผลในระยะยาว และปรับปรุงการทำงานของปอดด้วยการใช้ยาวันละ 1 ครั้ง SPIRIVA (R) มีผลแง่บวกในการรักษาทางการแพทย์ของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เนื่องจากช่วยเปลี่ยนแปลงแนวทางการใช้ชีวิตของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ (2,3) นอกจากนี้ ยังมีการจ่ายยา SPIRIVA สำหรับรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมากที่สุดในโลก (11)
SPIRIVA (R) ช่วยให้ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหายใจสะดวกขึ้นด้วยการเปิดทางเดินหายใจที่แคบตลอด 24 ชั่วโมง
โครงการการทดสอบการใช้ยา SPIRIVA (R) ทางการแพทย์ได้มีการว่าจ้างผู้ป่วยมากกว่า 25,000 ราย (12) ซึ่งยา SPIRIVA (R) ได้แสดงการเปิดทางเดินอากาศที่สำคัญและถาวร (3,13) และลดการสกัดกั้นอากาศ (14,15) นอกจากนี้ยาดังกล่าวยังแสดงการพัฒนาการการทำงานของปอดที่สูงขึ้นและยั่งยืน (FEVI) เหนือกว่ายา ipratropium bromide (ATROVENT(R) การอัดอากาศหายใจเข้า ซึ่งเป็นการรักษาเบื้องต้นสำหรับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในปัจจุบัน ที่ใช้มาตลอด 1 ปี (3) และแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่เหนือกว่าในการทำงานของปอดเมื่อเปรียบเทียบกับยา salmeterol นอกจากนี้ การศึกษายาทั่วไปที่ได้รับการควบคุม คนไข้ที่ได้รับการรักษาด้วยยา SPIRIVA (R) ลดอาการไม่หายใจและพัฒนาความอดทนในการออกกำลังกาย พวกเขาต้องการใช้ปริมาณยาในการรักษาลดลง และมีความรุนแรงลดลง รวมทั้งการเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (13) การทดลองทางการแพทย์ถึงปฏิกิริยาที่พบบ่อยที่สุดในการใช้ยา SPIRIVA (R) คืออาการปากแห้งซึ่งไม่รุนแรงและสามารถแก้ไขระหว่างการรักษาได้ (3,13)
โครงการเชิงรุกเพื่อรักษาโรคการอุดตันของปอดชนิดเรื้อรังระดับโลก(GOLD)ได้ระบุแนวทางการรักษาว่า การใช้ยาขยายหลอดลมรวมถึงยาtiotropium เป็นเวลานาน เป็นวิธีรักษาอาการ COPD ระดับสองที่ได้ผลดี(17)
เกี่ยวกับโบห์ริงเจอร์ อินเกลไฮม์ (Boehringer Ingelheim)
โบห์ริงเจอร์ อินเกลไฮม์ กรุ๊ป เป็นหนึ่งในบริษัทเวชภัณฑ์ชั้นนำ 20 อันดับแรกของโลก สำนักงานใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ที่เมืองอินเกลไฮม์ ประเทศเยอรมนี โดยบริษัทมีสาขาอยู่ 143 แห่ง ใน 47 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 37,500 คน นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2428 โบห์ริงเจอร์ อินเกลไฮม์ ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวมุ่งมั่นในการวิจัย พัฒนา ผลิต และทำการตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีคุณค่าสูงด้านการบำบัดโรคสำหรับมนุษย์ และยาสำหรับรักษาสัตว์
เมื่อปีที่ผ่านมา โบห์ริงเจอร์ อินเกลไฮม์ มียอดขายสุทธิ 9.5 พันล้านยูโร ขณะที่มีการใช้จ่ายกว่า 1 ใน 5 ของยอดขายสุทธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาในพรีสคริปชั่น เมดิซีนส์ (Prescription Medicines) ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าชมได้ที่ www.boehringer-ingelheim.com
เกี่ยวกับไฟเซอร์ อิงค์
ไฟเซอร์ อิงค์(Pfizer Inc)เป็นบริษัทผู้คิดค้น พัฒนา ผลิต และเป็นผู้นำด้านการตลาดในการใช้พรีสคริปชั่น เมดิซีนส์ (Prescription Medicines)เพื่อใช้ในการรักษามนุษย์และสัตว์ นอกจากนี้ยังผลิตสินค้าอีกหลายอย่างที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับไฟเซอร์ สามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ http://www.pfizer.com ซึ่งจะมีรูปภาพและข้อมูลที่คุณต้องการอย่าครบถ้วน
ข้อมูลอ้างอิง
1. Johansson G, Lindberg A, Romberg K, et al. Bronchodilator efficacy of
tiotropium (TIO) in patients with mild COPD. Poster presented at ERS,
Tuesday 5 September 2006.
2. Casaburi R, Kukafka D, Cooper CB, et al. Improvement in exercise
tolerance with the combination of tiotropium and pulmonary
rehabilitation in patients with COPD. Chest 2005; 127:809-817.
3. Vincken W, van Noord JA, Greefhorst APM, et al. Improved health
outcomes in patients with COPD during 1 year's treatment with
tiotopium. Eur Respir J 2002; 19:209-216.
4. Global Initiative for Chronic Obstructive Lung Disease. Global
Strategy for the Diagnosis, Management and Prevention of Chronic
Obstructive Pulmonary Disease. Executive Summary. GOLD website
( http://www.goldcopd.com ). Updated 2005.
5. Halpin DM. Chronic obstruction lung disease. 2001. London: Mosby.
6. World Health Organization. World Health Report 2004. Statistical
Annex. Annex table 2 and 3: 120-131.
7. Murray CJL, Lopez AD. eds. The Global Burden of Disease: a
comprehensive assessment of mortality and disability from diseases,
injuries, and risk factors in 1990 and projected to 2020. Cambridge;
Harvard University Press; 1996.
8. Halbert RJ, Natoli JL, Gano A, et al. Global burden of chronic
obstructive pulmonary disease: systematic review and meta-analysis.
Eur Respir J 2006; 28:1-10
9. Centers for Disease Control and Prevention. Surveillance Summaries,
August 2, 2002. MMWR: 51 (No SS06). http://www.cdc.gov/mmwr
10. Rudolf M. The reality of drug use in COPD: The European Perspective.
Chest 2000; 117(suppl): 29S-32S.
11. IMS Health, IMS MIDAS(tm), 2Q2005
12. Boehringer Ingelheim. Data on file.
13. Casaburi R, Mahler DA, Jones PW, et al. A long-term evaluation of
once-daily inhaled tiotropium in chronic obstructive pulmonary
disease. Eur Respir J. 2002; 1:217-224.
14. Celli B, ZuWallack R, Wang S, et al. Improvement in resting
inspiratory capacity and hyperinflation with tiotropium in COPD
patients with increased static lung volumes. Chest 2003; 124: 1743-
1748.
15. O'Donnell DE, Fluge T, Gerken F, et al. Effects of tiotropium on lung
hyperinflation, dyspnoea and exercise tolerance in COPD. Eur Respir J.
2004 23(6):832-48
16. Brusasco V, Hodder R, Miravitlles M, et al. Health outcomes following
treatment for six months with once daily tiotropium compared with
twice daily salmeterol in patients with COPD. Thorax 2003; 58:
399-404.
17. Pocket Guide to COPD diagnosis, management, and prevention - A guide
for healthcare professionals. Global Initiative for Chronic
Obstructive Lung Disease. Available at: http://www.goldcopd.com
(x) Patients had mild COPD according to Swedish COPD treatment
guidelines: FEV1/FVC <70%, post bronchodilator FEV1 greater than or
equal to 60% predicted and Medical Research Council (MRC) symptom
scores greater than or equal to 2
ที่มา:โบห์ริงเจอร์ อินเกลไฮม์ จีเอ็มบีเอช : ไฟเซอร์ อิงค์
CONTACT: ติดต่อ: จูดิธห์ วอน กอร์ดอน
ฝ่ายประสานงานการสื่อสาร จากโบห์ริงเจอร์ อินเกลไฮม์, เยอรมนี
โทร: +49-6132-77-35-82, หรือ
ฟรานซิสโก เกบัวเออร์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์จากไฟเซอร์ อิงค์ สหรัฐอเมริกา
โทร: +1-212-733-5191
เว็บไซต์: http://www.boehringer-ingelheim.com
--เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net )--

แท็ก ยุโรป  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ