ผลการศึกษาชี้ หลักเกณฑ์การใช้ยา Amlodipine เพื่อลดความดันโลหิตสามารถลดการเกิดโรคเบาหวานระยะเริ่มแรกในผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงได้กว่า1 ใน 3

ข่าวต่างประเทศ Thursday September 7, 2006 08:47 —Asianet Press Release

บาร์เซโลนา--7 ก.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์-เอเชียเน็ท/อินโฟเควสท์
เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ในนามคณะกรรมการบริหารด้านการตรวจสอบหัวใจร่วมระหว่างอังกฤษ-สแกนดิเนเวีย
ผลการค้นพบที่ได้จากการศึกษาผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในยุโรป (จากการศึกษาคนไข้เกือบ
20,000 คน) บ่งชี้ว่า หลักเกณฑ์เรื่องโรคความดันโลหิตสูงที่พิจารณาบนพื้นฐานการใช้ยา amlodipine ซึ่งออกฤทธิ์ขัดขวางการลำเลียงแคลเซี่ยม
สะท้อนให้เห็นว่าสามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มแรกในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงได้ประมาณ 34% เมื่อเทียบกับหลักเกณฑ์เรื่องยาที่ออกฤทธิ์ต้านความดันโลหิตสูง โดยผลการศึกษาครั้งนี้ได้มีการนำเสนอในที่ประชุมหัวใจระดับโลก (World Congress of Cardiology) ที่เมืองบาร์เซโลนาวันนี้
การศึกษาเรื่องการตรวจสอบด้านโรคหัวใจซึ่งร่วมดำเนินการระหว่างอังกฤษและประเทศสแกนดิเนเวีย (The Anglo-Scandinavian Cardiac Outcomes Trial - ASCOT) ได้เปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์การใช้ยา atenolol ซึ่งมีฤทธิ์ขัดขวางอนุภาคเบต้า (beta-blocker) บวกหรือลบ ยา bendroflumethiazide ซึ่งเป็นยาขับปัสสาวะ หรือ หลักเกณฑ์ของฤทธิ์ขัดขวางการลำเลียงแคลเซี่ยม ยา amlodipine บวกหรือลบ ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้ง ACE (angiotesin-converting enzyme) เพื่อควบคุมโรคความดันโลหิตสูง ทั้งนี้ ในผู้ป่วยจำนวน 19,257 คนที่เข้าลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการศึกษาครั้งนี้นั้น มีผู้ป่วย 14,120 คนที่ไม่เป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มแรก และจำนวน 1,366 คนของผู้ป่วยเหล่านี้มีอาการโรคเบาหวานกำเริบในช่วงระหว่างการศึกษา โดยมีผู้ป่วย 567 (8%) ที่ได้รับยา amlodipine และ 799 (11.4%) ที่ได้รับยา atenolol
"ปัจจัยหนึ่งที่เป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของอาการโรคเบาหวานระยะกำเริบคือ กลยุทธ์การรักษาด้วย beta-blocker บวก หรือ ยาขับปัสสาวะ " ดร.อาเจย์ กุปตา แห่งศูนย์สุขภาพเซอร์คูลาทอรีนานาชาติ วิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าว "ผู้ป่วยที่ถูกจัดให้อยู่ในกลยุทธ์การลดความดันในเลือดที่ทันสมัยมากขึ้น ด้วยการใช้ยา amlodipine บวกหรือลบ ยา perindopril นั้น พบว่า 34% อาจจะไม่มีอาการเบาหวานกำเริบ ผลการศึกษาดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากโรคเบาหวานทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดหัวใจวาย (myocarical infarctions) และหัวใจล้มเหลว"
นอกจากนี้ การศึกษาของ ASCOT แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลด้วยหลักเกณฑ์ที่อยู่บนพื้นฐานยาที่ออกฤทธิ์ต้านอนุภาคเบต้า (beta-blocker) มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มแรก โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆทั้งหมดที่จะทำให้เกิดโรคเบาหวาน อาทิ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น กลูโคสในเลือดซึ่งการศึกษาพบว่าสูงขึ้น และระดับความดันโลหิตเบื้องต้นเพิ่มขึ้น
การแสดงความคิดเห็นเรื่องผลการศึกษาครั้งนี้นั้น ศาสตราจารย์ นีล พอลเตอร์ สมาชิกคณะกรรมการการศึกษา ASCOT กล่าวว่า "การค้นพบครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายพันคนอย่างมีนัยสำคัญ เดิมทีนั้นโรคความดันโลหิตสูงได้เพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า ปัจจุบันนี้เราทราบว่า การใช้ยาขับปัสสาวะทั้ง บวกหรือลบ ยาที่ออกฤทธิ์ต้านอนุภาคเบต้าทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเปรียบเทียบกับการใช้ยา amlodipine ทั้งบวกและลบ ยา perindopril แพทย์ควรพิจารณาอย่างระมัดระวังก่อนที่จะใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต้านอนุภาคเบต้า บนพื้นฐานของกลยุทธ์เพื่อการรักษาโรคความดันโลหิตสูง "
ผลของการทดลอง ASCOT เป็นเวลา 5 ปีพบว่า ผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยยา amlodipine มีอัตราการตายลดลง 11% จากอัตราการตายทั้งหมด
การลดอาการหัวใจวายในระดับที่รุนแรงและไม่รุนแรงได้ 23% และการลดหลอดเลือดหัวใจตาย 24% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย beta-blocker นอกจากนี้ ยังลดอัตราโรคหัวใจหลอดเลือดรุนแรงเบื้องต้นและอาการหัวใจวายไม่รุนแรงได้ 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยังไม่สามารถบรรลุสถิติได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการศึกษายุติลงก่อนเนื่องจากผลจากการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยยา amlodipine
หน่วยงานอิสระจำนวนหนึ่ง เช่น สถาบันแห่งชาติด้านความยอดเยี่ยมด้านคลินิกและสุขภาพของอังกฤษ (NICE) ได้ทำงานร่วมกับสมาคมความดันโลหิตสูงอังกฤษ ได้แนะนำว่า beta-blocker ไม่ควรใช้เป็นตัวเลือกอันดับแรกในการรักษาความดันโลหิตสูงเบื้องต้นอีกต่อไป แต่ทางเลือกแรกของการรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป หรือในผู้ป่วยผิวสีอายุใดก็ตาม ควรจะเป็นยา calcium-channel-blocker หรือ thiazide-type diuretic หากมีการใช้ beta-blocker เป็นอันดับแรกและจำเป็นต้องใช้ยาที่สอง ขอแนะนำให้ใช้ calcium-channel-blocker มากกว่า thiazide-type diuretic เพื่อลดความเสี่ยงของคนไข้ในการเป็นโรคเบาหวาน(3)
"ข้อมูลเหล่านี้เน้นความเสี่ยงเพิ่มเติมถึงการเป็นโรคเบาหวานครั้งใหม่จาก beta-blocker เพิ่มหรือลบ diuretic และให้การสนับสนุนคำแนะนำนี้" ศาสตราจารย์ เพาล์เตอร์ กล่าว
อ้างอิง
Gupta AK on behalf of the ASCOT investigators. Determinants of new onset diabetes using hypertension patients questioned in the ASCOT-BPLA Trial, World Congress of Cardiology, Barcelona, 6th September 2006.
Dahlof B, Sever PS, Poulter NR, Wedel H et al. Prevention of cardiovascular events with an antihypertensive regimen of amlodipine adding perindopril as required versus atenolol adding bendroflumethiazide as required, in the Anglo-Scandinavian Cardiac Outcomes Trial-Blood Pressure Lowering Arm (ASCOT-BPLA): A multicentre randomised controlled trial. Lancet. 2005;366:895-906.
3. NICE Clinical Guideline 34. Hypertension: Management of hypertension in adults in primary care, June 2006.
หมายเหตุถึงบรรณาธิการ
แอสคอท(ASCOT) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งโดยไฟเซอร์ เป็นผู้นำด้านการทดสอบร่วมกับคณะกรรมาธิการอิสระ การศึกษาเริ่มต้นขึ้นในปี 2541
และมีผู้ลงทะเบียนเข้าทำการทดสอบมากกว่า 19,000 รายในหลายประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ ในเดือนพ.ย. 2547 คณะกรรมการของแอสคอท ให้การรับรองคำแนะนำคณะกรรมการเฝ้าสังเกตการณ์ด้านข้อมูลและความปลอดภัยให้ยุติการทด
สอบในเบื้องต้น เนื่องจากจะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยเหลือผู้ที่เสียชีวิต ซึ่งได้รับการสาธิตในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบแคลเซียม-ชาแนล-บล็อกเกอร์ในหลอดเลือด
ในแอสคอท ผู้ป่วยทุกคนที่มีความดันโลหิตสูงจะมีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ เป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ผู้ที่สูบบุหรี่
และคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันมาก่อน ทั้งนี้เป้าหมายของการทดลองของแอสคอท คือ เพื่อทดสอบความดันโลหิตสูงที่มีตัวขัดขวางแคลเซียมที่มีคุณสมบัติต่อต้านความดันโลหิตสูงมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีที่ใช้การสกัดกั้นเบต้าในการป้องกันภาวะหลอเลือดหัวใจอุดตันในเบื้องต้น ทั้งนี้การใช้เวลาในการรักษาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.5 ปี
การศึกษาที่หยุดชะงักไปเมื่อก่อนหน้านี้ เนื่องมาจากผลจากการยา amlodipine plus หรือหลักเกณฑ์การรักษาด้วย minus perindopril
ในการสรุปผลการทดลองขั้นที่ 2 ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิต ยังไม่เป็นสถิติที่สูงพอสำหรับการสรุปผลทดสอบเบื้องต้น(non-fatal MI + fatal CHD
) เพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญด้านสถิติ แม้ว่าจะสามารถลดอาการของยาamlodipine plus หรือ minus perindopril ได้ถึง 10% ก็ตาม ผลสรุปในขั้นตอนที่สองยังประกอบด้วยสาเหตุของการเสียชีวิตทั้งหมด ได้แก่ การเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดอุดตันที่รักษาไม่ได้และรักษาได้ และโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดทั้งหมด รวมถึงขั้นตอนทุกอย่างของการลดภาวะดังกล่าวโดยใช้หลักการแบบใหม่
Norvasc ซึ่งเป็นยาลดความดันโลหิตที่ใช้สำหรับรักษาอาการความดันโลหิตสูงและอาการหายใจไม่ออก ในการทดสอบทางการแพทย์ ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจาก Norvasc เมื่อเทียบกับยา placebo คือ อาการบวมน้ำ(8.3% vs 2.4%) ปวดหัว(7.3% vs 7.8%) เหนื่อยง่าย(4.5% vs 2.8%) และวิงเวียนศรีษะ(3.2% vs 3.4%)
ที่มา: ไฟเซอร์
ติดต่อ: อลิสัน เดวิส
โทร +44-(0)1789-765-932
โทรศัพท์มือถือ +44-(0)7709-424240 หรือ
มิเชล ดับเบิ้ลยู กิบบ์
โทร +44-(0)121-454-4114
โทรศัพท์มือถือ +44-(0)7879-813667,
ทั้งคู่จากไฟเซอร์
--เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net )--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ