บาร์เซโลนา--7 ก.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์-เอเชียเน็ท/อินโฟเควสท์ เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ในนามคณะกรรมการบริหารด้านการตรวจสอบหัวใจร่วมระหว่างอังกฤษ-สแกนดิเนเวีย ผลการค้นพบที่ได้จากการศึกษาผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในยุโรป (จากการศึกษาคนไข้เกือบ20,000 คน) บ่งชี้ว่า หลักเกณฑ์เรื่องโรคความดันโลหิตสูงที่พิจารณาบนพื้นฐานการใช้ยา amlodipine ซึ่งออกฤทธิ์ขัดขวางการลำเลียงแคลเซี่ยมสะท้อนให้เห็นว่าสามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มแรกในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงได้ประมาณ 34% เมื่อเทียบกับหลักเกณฑ์เรื่องยาที่ออกฤทธิ์ต้านความดันโลหิตสูง โดยผลการศึกษาครั้งนี้ได้มีการนำเสนอในที่ประชุมหัวใจระดับโลก (World Congress of Cardiology) ที่เมืองบาร์เซโลนาวันนี้ การศึกษาเรื่องการตรวจสอบด้านโรคหัวใจซึ่งร่วมดำเนินการระหว่างอังกฤษและประเทศสแกนดิเนเวีย (The Anglo-Scandinavian Cardiac Outcomes Trial - ASCOT) ได้เปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์การใช้ยา atenolol ซึ่งมีฤทธิ์ขัดขวางอนุภาคเบต้า (beta-blocker) บวกหรือลบ ยา bendroflumethiazide ซึ่งเป็นยาขับปัสสาวะ หรือ หลักเกณฑ์ของฤทธิ์ขัดขวางการลำเลียงแคลเซี่ยม ยา amlodipine บวกหรือลบ ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้ง ACE (angiotesin-converting enzyme) เพื่อควบคุมโรคความดันโลหิตสูง ทั้งนี้ ในผู้ป่วยจำนวน 19,257 คนที่เข้าลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการศึกษาครั้งนี้นั้น มีผู้ป่วย 14,120 คนที่ไม่เป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มแรก และจำนวน 1,366 คนของผู้ป่วยเหล่านี้มีอาการโรคเบาหวานกำเริบในช่วงระหว่างการศึกษา โดยมีผู้ป่วย 567 (8%) ที่ได้รับยา amlodipine และ 799 (11.4%) ที่ได้รับยา atenolol "ปัจจัยหนึ่งที่เป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของอาการโรคเบาหวานระยะกำเริบคือ กลยุทธ์การรักษาด้วย beta-blocker บวก หรือ ยาขับปัสสาวะ " ดร.อาเจย์ กุปตา แห่งศูนย์สุขภาพเซอร์คูลาทอรีนานาชาติ วิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าว "ผู้ป่วยที่ถูกจัดให้อยู่ในกลยุทธ์การลดความดันในเลือดที่ทันสมัยมากขึ้น ด้วยการใช้ยา amlodipine บวกหรือลบ ยา perindopril นั้น พบว่า 34% อาจจะไม่มีอาการเบาหวานกำเริบ ผลการศึกษาดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากโรคเบาหวานทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดหัวใจวาย (myocarical infarctions) และหัวใจล้มเหลว" นอกจากนี้ การศึกษาของ ASCOT แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลด้วยหลักเกณฑ์ที่อยู่บนพื้นฐานยาที่ออกฤทธิ์ต้านอนุภาคเบต้า (beta-blocker) มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มแรก โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆทั้งหมดที่จะทำให้เกิดโรคเบาหวาน อาทิ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น กลูโคสในเลือดซึ่งการศึกษาพบว่าสูงขึ้น และระดับความดันโลหิตเบื้องต้นเพิ่มขึ้น การแสดงความคิดเห็นเรื่องผลการศึกษาครั้งนี้นั้น ศาสตราจารย์ นีล พอลเตอร์ สมาชิกคณะกรรมการการศึกษา ASCOT กล่าวว่า "การค้นพบครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายพันคนอย่างมีนัยสำคัญ เดิมทีนั้นโรคความดันโลหิตสูงได้เพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า ปัจจุบันนี้เราทราบว่า การใช้ยาขับปัสสาวะทั้ง บวกหรือลบ ยาที่ออกฤทธิ์ต้านอนุภาคเบต้าทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเปรียบเทียบกับการใช้ยา amlodipine ทั้งบวกและลบ ยา perindopril แพทย์ควรพิจารณาอย่างระมัดระวังก่อนที่จะใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต้านอนุภาคเบต้า บนพื้นฐานของกลยุทธ์เพื่อการรักษาโรคความดันโลหิตสูง " ผลของการทดลอง ASCOT เป็นเวลา 5 ปีพบว่า ผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยยา amlodipine มีอัตราการตายลดลง 11% จากอัตราการตายทั้งหมดการลดอาการหัวใจวายในระดับที่รุนแรงและไม่รุนแรงได้ 23% และการลดหลอดเลือดหัวใจตาย 24% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย beta-blocker นอกจากนี้ ยังลดอัตราโรคหัวใจหลอดเลือดรุนแรงเบื้องต้นและอาการหัวใจวายไม่รุนแรงได้ 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยังไม่สามารถบรรลุสถิติได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการศึกษายุติลงก่อนเนื่องจากผลจากการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยยา amlodipine หน่วยงานอิสระจำนวนหนึ่ง เช่น สถาบันแห่งชาติด้านความยอดเยี่ยมด้านคลินิกและสุขภาพของอังกฤษ (NICE) ได้ทำงานร่วมกับสมาคมความดันโลหิตสูงอังกฤษ ได้แนะนำว่า beta-blocker ไม่ควรใช้เป็นตัวเลือกอันดับแรกในการรักษาความดันโลหิตสูงเบื้องต้นอีกต่อไป แต่ทางเลือกแรกของการรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป หรือในผู้ป่วยผิวสีอายุใดก็ตาม ควรจะเป็นยา calcium-channel-blocker หรือ thiazide-type diuretic หากมีการใช้ beta-blocker เป็นอันดับแรกและจำเป็นต้องใช้ยาที่สอง ขอแนะนำให้ใช้ calcium-channel-blocker มากกว่า thiazide-type diuretic เพื่อลดความเสี่ยงของคนไข้ในการเป็นโรคเบาหวาน(3) "ข้อมูลเหล่านี้เน้นความเสี่ยงเพิ่มเติมถึงการเป็นโรคเบาหวานครั้งใหม่จาก beta-blocker เพิ่มหรือลบ diuretic และให้การสนับสนุนคำแนะนำนี้" ศาสตราจารย์ เพาล์เตอร์ กล่าว อ้างอิง Gupta AK on behalf of the ASCOT investigators. Determinants of new onset diabetes using hypertension patients questioned in the ASCOT-BPLA Trial, World Congress of Cardiology, Barcelona, 6th September 2006. Dahlof B, Sever PS, Poulter NR, Wedel H et al. Prevention of cardiovascular events with an antihypertensive regimen of amlodipine adding perindopril as required versus atenolol adding bendroflumethiazide as required, in the Anglo-Scandinavian Cardiac Outcomes Trial-Blood Pressure Lowering Arm (ASCOT-BPLA): A multicentre randomised controlled trial. Lancet. 2005;366:895-906. 3. NICE Clinical Guideline 34. Hypertension: Management of hypertension in adults in primary care, June 2006. หมายเหตุถึงบรรณาธิการ แอสคอท(ASCOT) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งโดยไฟเซอร์ เป็นผู้นำด้านการทดสอบร่วมกับคณะกรรมาธิการอิสระ การศึกษาเริ่มต้นขึ้นในปี 2541และมีผู้ลงทะเบียนเข้าทำการทดสอบมากกว่า 19,000 รายในหลายประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ ในเดือนพ.ย. 2547 คณะกรรมการของแอสคอท ให้การรับรองคำแนะนำคณะกรรมการเฝ้าสังเกตการณ์ด้านข้อมูลและความปลอดภัยให้ยุติการทดสอบในเบื้องต้น เนื่องจากจะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยเหลือผู้ที่เสียชีวิต ซึ่งได้รับการสาธิตในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบแคลเซียม-ชาแนล-บล็อกเกอร์ในหลอดเลือด ในแอสคอท ผู้ป่วยทุกคนที่มีความดันโลหิตสูงจะมีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ เป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ผู้ที่สูบบุหรี่และคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันมาก่อน ทั้งนี้เป้าหมายของการทดลองของแอสคอท คือ เพื่อทดสอบความดันโลหิตสูงที่มีตัวขัดขวางแคลเซียมที่มีคุณสมบัติต่อต้านความดันโลหิตสูงมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีที่ใช้การสกัดกั้นเบต้าในการป้องกันภาวะหลอเลือดหัวใจอุดตันในเบื้องต้น ทั้งนี้การใช้เวลาในการรักษาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.5 ปี การศึกษาที่หยุดชะงักไปเมื่อก่อนหน้านี้ เนื่องมาจากผลจากการยา amlodipine plus หรือหลักเกณฑ์การรักษาด้วย minus perindopril ในการสรุปผลการทดลองขั้นที่ 2 ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิต ยังไม่เป็นสถิติที่สูงพอสำหรับการสรุปผลทดสอบเบื้องต้น(non-fatal MI + fatal CHD) เพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญด้านสถิติ แม้ว่าจะสามารถลดอาการของยาamlodipine plus หรือ minus perindopril ได้ถึง 10% ก็ตาม ผลสรุปในขั้นตอนที่สองยังประกอบด้วยสาเหตุของการเสียชีวิตทั้งหมด ได้แก่ การเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดอุดตันที่รักษาไม่ได้และรักษาได้ และโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดทั้งหมด รวมถึงขั้นตอนทุกอย่างของการลดภาวะดังกล่าวโดยใช้หลักการแบบใหม่ Norvasc ซึ่งเป็นยาลดความดันโลหิตที่ใช้สำหรับรักษาอาการความดันโลหิตสูงและอาการหายใจไม่ออก ในการทดสอบทางการแพทย์ ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจาก Norvasc เมื่อเทียบกับยา placebo คือ อาการบวมน้ำ(8.3% vs 2.4%) ปวดหัว(7.3% vs 7.8%) เหนื่อยง่าย(4.5% vs 2.8%) และวิงเวียนศรีษะ(3.2% vs 3.4%) ที่มา: ไฟเซอร์ ติดต่อ: อลิสัน เดวิส โทร +44-(0)1789-765-932 โทรศัพท์มือถือ +44-(0)7709-424240 หรือ มิเชล ดับเบิ้ลยู กิบบ์ โทร +44-(0)121-454-4114 โทรศัพท์มือถือ +44-(0)7879-813667, ทั้งคู่จากไฟเซอร์ --เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net )--