แถลงข่าวเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาสที่ 3 ปี 2555

ข่าวเศรษฐกิจ Friday November 2, 2012 16:40 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

ฉบับที่ 24/2555

ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือในไตรมาสที่ 3 ปี 2555 ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอตัวจากไตรมาสที่แล้ว เป็นผลจากอำนาจการซื้อขยายตัวในระดับปานกลาง เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากสินเชื่อภาคการเงินและนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ ประกอบกับการใช้จ่ายของภาครัฐที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สำหรับภาคการก่อสร้างยังขยายตัวแม้ชะลอลงบ้างจากช่วงก่อนหน้า แต่การลงทุนยังได้รับผลดีจากการลงทุนใน อุตสาหกรรมที่มีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีจากประเทศจีน สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 2.05 เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 1.89 ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ

รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีดังนี้

การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.5 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย เนื่องจากผลของนโยบายรถยนต์คันแรกเป็นสำคัญ รวมทั้งมีการส่งมอบรถยนต์ได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเนื่องจากการผลิตกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ประกอบกับแรงสนับสนุนของสินเชื่อของสถาบันการเงิน ในขณะที่อำนาจซื้อจากภาคเกษตรสะท้อนจากรายได้เกษตรกรทรงตัว โดย ดัชนีมูลค่าผลผลิตพืชสำคัญขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.5 เป็นผลจากด้านผลผลิตเป็นสำคัญ โดยดัชนีผลผลิตพืชสำคัญขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.2 จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตยางพาราและมันสำปะหลัง แต่ดัชนีราคาพืชสำคัญหดตัวน้อยลงจากไตรมาสก่อน โดยลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.6 ตามราคามันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งผลิตเพื่อสต็อกไว้เก็งกำไรในช่วงปลายปีของอุตสาหกรรมแป้งมัน รวมทั้งความต้องการของตลาดต่างประเทศยังมีต่อเนื่อง ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาตลาดโลก เป็นผลจากประเทศผู้ผลิตหลักประสบปัญหาภัยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ราคาข้าวยังคงลดลงตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ และราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้โรงสีและผู้ส่งออกชะลอการรับซื้อ ประกอบกับสต็อกข้าวของทางการที่อยู่ในระดับสูง ยางพาราลดลงต่อเนื่องจากความต้องการของตลาดต่างประเทศที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สำหรับการใช้จ่ายของภาครัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.0 และขยายตัวจากไตรมาสก่อน ทั้งงบลงทุนและงบประจำ โดยเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.0 และร้อยละ 12.2 ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นการเบิกจ่ายของกรมทางหลวงชนบทและกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้นบ้าง สอดคล้องกับ ภาคการค้าที่ขยายตัวจากไตรมาสก่อน โดยดัชนีการค้าเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.5 ตามการขยายตัวของการค้าหมวดยานยนต์เป็นสำคัญ โดยดัชนีการค้าหมวดยานยนต์เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 27.5 สำหรับการค้าส่งและค้าปลีกยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี จากการขายส่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และการขายปลีกวัสดุก่อสร้าง เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.3 และขยายตัวจากไตรมาสก่อน แต่เริ่มเห็นการชะลอตัวลง เนื่องจากได้มีการเร่งการลงทุนไปก่อนหน้า สะท้อนจากเงินลงทุนของโรงงานอุตสาหกรรมตั้งใหม่ลดลงร้อยละ 34.2 ในขณะที่พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ก่อสร้างเพื่อการพาณิชย์ สอดคล้องกับยอดจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.1 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจการให้เช่า การขาย การซื้อและการดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ สำหรับความสนใจลงทุนของนักลงทุนพบว่ามูลค่าการได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เพิ่มขึ้นร้อยละ 586.8 โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมบริการ กอปรกับผู้ประกอบการเริ่มมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น สอดคล้องกับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.7 ตามการผลิต ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ขยายตัวตามความต้องการของตลาดภายในและต่างประเทศ ขณะที่การผลิตในอุตสาหกรรมน้ำตาลโดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาวหดตัวเนื่องจากมีการเร่งผลิตในช่วงก่อนหน้ากอปรกับความต้องการน้ำตาลของตลาดต่างประเทศลดลง ส่วนภาคบริการทรงตัวจากไตรมาสก่อน สะท้อนจากอัตราการเข้าพักแรมอยู่ที่ร้อยละ 48.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตราการเข้าพักแรมอยู่ที่ร้อยละ 47.6 ส่วนใหญ่เป็นการประชุมสัมมนาทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน

ภาคการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 3 ปีนี้ ธนาคารพาณิชย์ มีเงินฝากคงค้าง 560.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.3 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมา 3 ไตรมาส ตามการแข่งขันในการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เพื่อรองรับสินเชื่อที่ขยายตัวสูง สำหรับสินเชื่อมียอดคงค้าง 610.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.3 ขยายตัวจากไตรมาสที่2 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลโดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและ สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้สินเชื่ออื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นได้แก่ สินเชื่อขายปลีกขายส่ง สินเชื่อตัวกลางทางการเงิน (สินเชื่อที่ให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์) ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีเงินฝากคงค้าง เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาส 2 ปีนี้ สำหรับสินเชื่อคงค้าง เพิ่มขึ้นทั้งจากระยะเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเพื่อสังคมตามนโยบายของรัฐบาล รองลงมาเป็นสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

เสถียรภาพเศรษฐกิจ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ร้อยละ 2.05 เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อน ที่ร้อยละ 1.89 ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.65 ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.00

ธนาคารแห่งประเทศไทย

สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ข้อมูลเพิ่มเติม : ส่วนเศรษฐกิจภาค

โทร: 0 4333 3000 ต่อ 3410

E-mail: [email protected]

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ