ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านจากค่าเงินบาทแข็งมากน้อยแค่ไหน

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday June 4, 2013 14:37 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

นางสาวธนภรณ์ หิรัญวงศ์

สายนโยบายการเงิน

ธนาคารแห่งประเทศไทย

ช่วงนี้ประเด็นร้อนทางเศรษฐกิจคงหนีไม่พ้นเรื่องบาทแข็งที่เป็นประเด็นในหน้าหนังสือพิมพ์แทบ ทุกวัน หลายฝ่ายกังวลว่าบาทแข็งจะทำให้ไทยแข่งกับประเทศอื่นไม่ได้ เพราะคิดกันง่ายๆ ว่าบาทแข็งก็คือ เงินบาทมีราคาแพงขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้สินค้าส่งออกของไทยแพงขึ้นไปด้วย เมื่อของแพง ก็จะทำให้ขายสู้คู่แข่งจากประเทศอื่นไม่ได้ ส่งออกก็จะตกฮวบลงทันที ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องซะทีเดียว ด้วยเหตุผล 3 ประการด้วยกัน

ประการแรก ในความเป็นจริง บาทแข็งไม่ได้ทำให้สินค้าไทยแพงขึ้นในสายตาของต่างชาติเสมอไป เพราะด้วยความที่ไทยเรายังเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ผู้ส่งออกไม่มีอำนาจต่อรองหรือกำหนดราคากับคู่ค้าต่างประเทศมากนัก ส่วนใหญ่ราคาที่ตกลงซื้อขายกันกับต่างประเทศจึงเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ หรือสกุลเงินหลักอื่นๆ เกือบทั้งนั้น ไม่ใช่ราคาในรูปเงินบาท และราคาสินค้าก็มักขึ้นอยู่กับราคาตลาด ฉะนั้น ถึงบาทจะแข็งขึ้น ราคาสินค้าที่เราขายต่างชาติในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ จึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ไม่ได้แพงขึ้นตามจนทำให้คนอื่นเลิกซื้อของเราอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ส่วนที่กระทบผู้ส่งออกตรงๆ คือการที่บาทแข็งจะทำให้รายได้หรือกำไรที่ได้รับเป็นดอลลาร์ เมื่อแลกกลับเป็นเงินบาทจะมีมูลค่าลดลงในทันที ซึ่งถ้าบาทแข็งขึ้นมากและไม่สามารถขอปรับราคาหรือลดต้นทุนได้ ก็อาจทำให้ขาดทุนได้เช่นกัน

ประการที่สอง เมื่อพูดถึงบาทแข็ง คนทั่วไปจะนึกถึงตัวเลขบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างช่วงนี้ก็อยู่ที่ประมาณ 29.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 3 จากต้นปี แต่ถ้าเราจะวัดความสามารถในการแข่งขันกับคู่ค้าคู่แข่งจริงๆ แล้ว จะดูแค่บาทเทียบกับดอลลาร์เพียงสกุลเดียวคงไม่พอ เพราะเราไม่ได้ค้าขายกับสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว เราควรจะเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับค่าเงินหลายๆ สกุลของประเทศที่เราค้าขายด้วย การเปรียบเทียบเช่นนี้มีวิธีวัดที่เรียกว่า “ดัชนีค่าเงิน (Nominal Effective Exchange Rate, NEER)” โดยคำนวณจากการเอาค่าเงินของประเทศเราเทียบกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งของเรา และนามาเฉลี่ยโดยถ่วงน้าหนักด้วยสัดส่วนการค้าระหว่างกัน ประเทศที่เราค้าขายหรือแข่งขันด้วยมากๆ ก็จะได้น้ำหนักมาก และลดหลั่นกันไปตามความสำคัญของประเทศนั้นๆ ในฐานะคู่ค้าคู่แข่ง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์เป็นคู่ค้าที่สำคัญของมาเลเซีย แต่ไม่ได้สำคัญมากนักสำหรับไทย น้ำหนักของสิงคโปร์ดอลลาร์ในการคานวณดัชนีค่าเงินของริงกิตมาเลเซียจึงมากกว่าน้ำหนักของสิงคโปร์ดอลลาร์ในดัชนีค่าเงินของบาทไทยถึง 2 เท่า

การคำนวณดัชนีค่าเงินค่อนข้างซับซ้อนและแต่ละประเทศก็อาจจะมีวิธีการคานวณดัชนีนี้แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม แต่หากต้องการจะเปรียบเทียบดัชนีนี้กับประเทศอื่นๆ ก็สามารถอ้างอิงได้จากข้อมูลของ Bank for International Settlements (BIS) ซึ่งเป็นธนาคารของธนาคารกลางทั่วโลกและสถาบัน การเงินระหว่างประเทศ

BIS ได้สร้างและเผยแพร่ดัชนีค่าเงินสาหรับประเทศต่างๆ รวม 61 ประเทศ*(1) จากข้อมูลพบว่าประเทศในเอเชียส่วนใหญ่มีกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักเหมือนๆ กัน นั่นก็คือ สหรัฐฯ กลุ่มประเทศยูโร ญี่ปุ่น และจีน แต่สัดส่วนการให้น้ำหนักจะแตกต่างกันไป เมื่อเงินสกุลของประเทศหลักเหล่านี้อ่อนค่าลงมากจากผลพวงของวิกฤตและความพยายามอัดฉีดเงินเพื่อแก้ไขปัญหา ก็แน่นอนว่าจะทำให้ดัชนีค่าเงินของประเทศในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นเหมือนกันหมด แต่จะแข็งขึ้นเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับว่าค่าเงินของประเทศนั้นแข็งขึ้นมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคและความแตกต่างของการให้น้าหนักการค้ากับสกุลเงินหลักแต่ละสกุลตามความสำคัญต่อการส่งออกและนำเข้าของแต่ละประเทศ จากข้อมูลในตารางจะเห็นว่าหากเทียบจากสิ้นปี 2554 ดัชนีค่าเงินของเงินบาทแข็งค่าร้อยละ 4 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ร้อยละ 4.5 และแข็งค่าน้อยกว่าดัชนีค่าเงินของอีกหลายสกุลเงินอื่นด้วยซ้า สะท้อนว่าไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ผู้ส่งออกต้องประสบภาวะการแข็งขึ้นของค่าเงิน ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ต่างก็เผชิญปัญหาเดียวกันทั้งนั้น มากน้อยต่างกันไป และอันที่จริงผู้ส่งออกของหลายๆ ประเทศในภูมิภาคนี้ประสบปัญหาค่าเงินของตนแข็งค่ามากกว่าที่ผู้ส่งออกไทยประสบเสียอีก (หากเทียบการส่งออกของไทยตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบันขยายตัวที่ร้อยละ 5.1 ซึ่งเติบโตได้ดีกว่าประเทศในภูมิภาคโดยเฉลี่ยที่ร้อยละ 1.6)

ถ้าจะให้ถูกต้องตามหลักการแล้ว การวัดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงของประเทศต่างๆ ต้องเอาความแตกต่างของอัตราเงินเฟ้อในประเทศเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งมาพิจารณาด้วย นั่นก็คือ “ดัชนีค่าเงินที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate, REER)” เพราะถ้าอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศสูงกว่าต่างประเทศ ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ก็หมายความว่า ค่าเงินที่แท้จริงของประเทศที่เงินเฟ้อสูงกว่านั้นแข็งค่าขึ้น ซึ่งถ้าใช้ดัชนีค่าเงินที่แท้จริงในการเปรียบเทียบ ภาพข้างต้นก็จะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่จะมีบางสกุลเงิน เช่น ค่าเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียที่แม้ว่าดัชนีค่าเงินจะอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก แต่ถ้าเอาระดับเงินเฟ้อมาคิดรวมในรูปดัชนีค่าเงินที่แท้จริงแล้ว ก็จะพบว่าอินโดนีเซียไม่ได้ได้เปรียบในการแข่งขันเทียบกับประเทศอื่น

ประการสุดท้าย ปัจจัยด้านค่าเงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะในระยะสั้นเพราะอาจจะกระทบรายได้ของผู้ส่งออกในทันทีก่อนที่ผู้ส่งออกจะสามารถต่อรอง ขอปรับราคาหรือปรับกลยุทธ์ในด้านอื่นๆ ได้ แต่ยังมีปัจจัยอีกหลายด้านที่มีผลต่อความสามารถในการแข่งขันมากกว่าค่าเงิน ที่สำคัญก็คือ คุณภาพและการสร้างความแตกต่างของสินค้า เพราะจะทำให้ราคาหรือค่าเงินไม่มีผลมากนักต่อการตัดสินใจซื้อ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวสินค้าแล้ว ยังเพิ่มอำนาจในการต่อรองราคากับลูกค้าที่ติดใจในสินค้าเราอีกด้วย หากพวกเราทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมแรงร่วมใจกันส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพของสินค้าไทยอย่างที่ได้ทำมาตลอดนั้น ก็จะช่วยลดการพึ่งพิงการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกลงไปเรื่อยๆ และสร้างภูมิคุ้มกันให้ภาคการส่งออกไทยสามารถเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

*(1) อ้างอิงจาก https://www.bis.org/statistics/eer/index.htm
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จาเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

          ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ