ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ผ่านวาระแรกของ สนช.แล้ว รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า
ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ซึ่งเป็น พ.ร.บ.การเงิน 1 ใน 3 ฉบับ ผ่านวาระแรกในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ในวาระที่ 2 ในวันพุธที่ 28 พ.ย.นี้ หลังจากได้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว
ได้พิจารณาเสร็จสิ้น โดยเนื้อหาที่สำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลง คือ การกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในสถาบันการเงินไทย โดย
คณะกรรมาธิการฯ ได้มีการแก้ไขสัดส่วนสูงสุดของนักลงทุนต่างชาติ โดยกำหนดให้นักลงทุนต่างชาติแต่ละรายถือหุ้นได้รายละไม่เกินร้อยละ 10
จากเดิมถือได้รายละไม่เกินร้อยละ 5 และมีสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นรวมใน ธพ. ได้ไม่เกินร้อยละ 25 โดยสามารถที่จะขอขยาย
สัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติเป็นรวมกันทุกรายไม่เกินร้อยละ 49 ได้ ในกรณีที่ ธปท.และ ก.คลังเห็นสมควร และให้ต่างชาติถือหุ้น
สถาบันการเงินไทยได้ร้อยละ 100 เฉพาะกรณีที่เข้าไปดำเนินการฟื้นฟูกิจการ (แนวหน้า, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ)
2. ยอดหนี้สาธารณะเดือน ก.ย.50 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 3,219 ล้านบาท เนื่องจากการออกพันธบัตรและตั๋วสัญญา
ใช้เงิน ก.คลัง เปิดเผยว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 ก.ย.50 มีจำนวน 3,178,485 ล้านบาท หรือร้อยละ 37.84 ของผลิตภัณฑ์
ในประเทศ (จีดีพี) เป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,051,363 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 906,374 ล้านบาท หนี้กองทุน
เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 185,154 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 35,593 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน
หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 3,219 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 6,687 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน และหนี้กองทุน
เพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 846 ล้านบาท และ 2,622 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นสุทธิ
ของหนี้สาธารณะเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านั้น เนื่องจากหนี้ในประเทศที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้นจากการออกพันธบัตรและตั๋วสัญญาใช้เงิน
เพื่อชดเชยการขาดดุล งปม. 9,361 ล้านบาท และ 2,540 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งยังได้ดำเนินการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังที่ครบกำหนด
1,000 ล้านบาท และชำระคืนเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่ 2 (FIDF3) จำนวน 4,550 ล้านบาท ส่วน
หนี้ต่างประเทศที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 336 ล้านบาท ขณะที่หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินนั้นลดลง เนื่องจากการไถ่ถอนพันธบัตร
และการชำระคืนต้นเงินกู้ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, มติชน, สยามรัฐ, แนวหน้า, ข่าวสด)
3. รมว.พลังงานชี้แผนอนุรักษ์พลังงานจะช่วยลดนำเข้าน้ำมันเหลือร้อยละ 35 ภายใน 4 ปีข้างหน้า รมว.พลังงาน กล่าวในงาน
สัมมนาจากงานสัมมนา “1 องศา จุดเปลี่ยนประเทศไทย” วานนี้ (26 พ.ย.50) ว่า การแก้ไขปัญหาโลกร้อนเป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือจากทุกฝ่าย
ทั้งการกำหนดนโยบาย ซึ่ง ก.พลังงานมีมาตรการแก้ปัญหา โดยมีนโยบายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนควบคู่กับการอนุรักษ์พลังงาน และ
ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนพลังงานทางเลือกได้ดำเนินการแล้วกว่า 100 โครงการ นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดส่งผลให้ลดการนำเข้าน้ำมันได้ ทั้งนี้ การนำเข้าน้ำมันในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย ในปี 48 ลดลง
ร้อยละ 6 ในปี 49 ลดลงร้อยละ 5 ในปี 50 ลดลงกว่าร้อยละ 6 และจากการนำแผนอนุรักษ์พลังงานมาใช้ เชื่อว่าภายใน 4 ปี ค่าเฉลี่ย
การนำเข้าน้ำมันของประเทศไทยจะต่ำกว่าร้อยละ 35 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลก และเป็นผลดีกับประเทศในระยะยาว นั่นหมายถึงว่า เรา
ไม่ต้องนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาพยุงราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังรอดูราคาน้ำมันในตลาดโลกอีก 1-2 วัน หากแนวโน้มราคายังปรับ
เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจพิจารณาปรับลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของดีเซลลงอีก (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ)
4. ต้นทุนการผลิตของธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจผลกระทบของผู้ประกอบการเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น พบว่า สมาชิก ส.อ.ท.ที่เป็น
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ประมาณ 400-500 ราย จากสมาชิกทั้งหมด 7,000 ราย ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น
ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 แต่สถานการณ์ยังไม่รุนแรงถึงขั้นปิดกิจการ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นกังวล คือ ผลกระทบในระยะยาว
หากราคาน้ำมันยังสูงขึ้นต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี แต่จะมีผลกระทบวงกว้าง ดังนั้น ส.อ.ท.จึงจัดทำข้อเสนอเพื่อยื่นต่อรัฐบาลใหม่
ขอทราบความชัดเจนและความต่อเนื่องนโยบายพัฒนาพลังงานทดแทน (เดลินิวส์, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. จีนไม่พอใจสหภาพยุโรปที่เรียกร้องความปลอดภัยในสินค้านำเข้าจากจีน รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 50
นาย Peter Mandelson กรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรปกล่าวกับทางการจีนเรื่องชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกจากจีนว่าไม่มีความปลอดภัย
และต้องการให้ทางการจีนดูแลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นซึ่งที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากจีนอาทิ ของเล่น ยาสีฟัน และสินค้าบริโภคต่างๆ
ไม่มีคุณภาพและไม่ปลอดภัย ทั้งนี้ข้อเรียกร้องดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างเย็นชาจาก รมว.อาวุโสของจีน ซึ่งนาย Peter Mandelson
กล่าวว่า EU จะไม่อดทนต่อจีนที่ไม่ดำเนินการกับสินค้าปลอม และอาจจะร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) รวมถึงประเด็นที่ EU ขาดดุล
การค้าจำนวนมหาศาลกับจีน ซึ่งกิจการหลายแห่งเห็นว่าไม่เป็นธรรมที่สินค้าจากจีนเข้ามาทุ่มตลาด EU และการที่จีนปล่อยให้ค่าเงินหยวนเมื่อ
เทียบกับเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างมากในปีนี้ โดยจะนำเข้าสู่การประชุมระหว่างจีนและ EU ในวันพุธนี้ด้วย (รอยเตอร์)
2. CSPI ของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ 27 พ.ย.50 ธ.กลางญี่ปุ่น
เปิดเผยว่า Corporate services price index (CSPI) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดมูลค่าการบริการระหว่างธุรกิจ ในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.4 เทียบต่อปี และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 และ 0.6 เทียบต่อปีและเทียบต่อเดือน ตามลำดับ
ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ธุรกิจที่นำมาประเมิน CSPI ประกอบด้วย ธุรกิจการเงินและประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การสื่อสาร โฆษณา
การบริการข้อมูล การเช่าและเช่าซื้อ รวมถึงบริการอื่นๆ (รอยเตอร์)
3. ธ.กลางมาเลเซียคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.5 รายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 26 พ.ย.50 ธ.กลางมาเลเซียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.5 เป็นครั้งที่ 13 ติดต่อกันและเป็นไปทิศทาง
เดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย และอินโดนีเซีย โดยให้เหตุผลว่ายังต้องใช้เวลาพิจารณาเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้านอย่างรอบคอบ
ไม่ว่าจะเป็น อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น หรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทั้งนี้ แม้ว่าระดับราคา
อาหาร ตลอดจนราคาเชื้อเพลิงและวัตถุดิบในการผลิตสินค้าที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ แต่ก็มีปัจจัยบางอย่างที่อาจช่วยลดแรงกดดัน
ด้านราคาลงได้ในปีหน้า เช่น กำลังการผลิตสินค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของมาเลเซียส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการส่งออกสินค้า
อิเล็กทรอนิกส์และวัตถุดิบในการผลิตสินค้า ซึ่งรัฐบาลกำลังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรักษาสมดุลของเศรษฐกิจภายในประเทศจากการ
ที่เศรษฐกิจของ สรอ. ชะลอตัวและปัญหาซับไพรม์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ด้านนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าหาก ธ.กลางมาเลเซียปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยนโยบายในเวลานี้อาจจะกระทบต่อผู้บริโภคและส่งผลกระทบถึงการเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 51 ดังนั้น ตราบเท่า
ที่ภาวะแวดล้อมของอัตราดอกเบี้ยยังเป็นบวกต่อเศรษฐกิจ คาดว่าจะไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ส่วนค่าเงินริงกิต
ที่แข็งค่าขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในปีนี้และการอุดหนุนราคาน้ำมันของรัฐช่วยควบคุมอัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียไม่ให้
เพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีในเดือน ต.ค. อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ต่ำมากกว่าครึ่งหนึ่งจากที่เคยขึ้นไปทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี ที่
ร้อยละ 4.8 เมื่อเดือน มี.ค.49 อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่าจะมีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในปีหน้า เนื่องจาก
ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจะกดดันให้รัฐบาลต้องปรับลดการอุดหนุนราคาน้ำมัน และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจะถูกผลักเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ขณะที่ ธ.กลางมาเลเซียกล่าวว่าความต้องการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจของมาเลเซียในปีหน้า
ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตร้อยละ 6.0 แต่ผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดว่าจะเติบโต
ร้อยละ 5.8(รอยเตอร์)
4. ผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ในเดือน ต.ค.50 ลดลงร้อยละ 3.0 เทียบต่อเดือน รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ 26 พ.ย.50
The Economic Development Board เปิดเผยว่า ผลผลิตโรงงงานของสิงคโปร์ในเดือน ต.ค.50 ลดลงร้อยละ 3.0 นับเป็นการลดลง
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 6.1 และ 14.0 ในเดือน ก.ย. และ ส.ค. ตามลำดับ และสวนทางกับการคาดการณ์ของ
นักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคาดว่าผลผลิตโรงงานจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ทั้งนี้ การที่ผลผลิตโรงงานในเดือน ต.ค.50 ลดลง มีสาเหตุจากผลผลิตผลิตภัณฑ์
ยาลดลงร้อยละ 19.5 เทียบต่อปี ส่วนผลิตภัณฑ์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และดิสไดร์ฟ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7, 10.3 และ 2.9
ตามลำดับ ขณะที่เมื่อเทียบต่อปีผลผลิตโรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.0 อนึ่ง
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า แม้จะมีความชัดเจนว่าการส่งออกไปยัง สรอ. ชะลอลง ตามภาวะเศรษฐกิจ สรอ. และก่อให้เกิดความกังวล
เนื่องจากประมาณ 1 ใน 4 ของระบบเศรษฐกิจสิงคโปร์ต้องพึ่งพาภาคการผลิต โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่มี สรอ.เป็นตลาด
หลักสำคัญ แต่ก็อาจชดเชยได้ด้วยการส่งออกไปยังจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่ขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะสินค้ากึ่งสำเร็จรูป (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 พ.ย. 50 26 พ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.836 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6179/33.9537 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38750 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 832.78/16.25 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,100/13,200 13,100/13,200 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 90.20 88.65 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 32.89*/29.34* 32.89*/29.34* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ผ่านวาระแรกของ สนช.แล้ว รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า
ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ซึ่งเป็น พ.ร.บ.การเงิน 1 ใน 3 ฉบับ ผ่านวาระแรกในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ในวาระที่ 2 ในวันพุธที่ 28 พ.ย.นี้ หลังจากได้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว
ได้พิจารณาเสร็จสิ้น โดยเนื้อหาที่สำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลง คือ การกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในสถาบันการเงินไทย โดย
คณะกรรมาธิการฯ ได้มีการแก้ไขสัดส่วนสูงสุดของนักลงทุนต่างชาติ โดยกำหนดให้นักลงทุนต่างชาติแต่ละรายถือหุ้นได้รายละไม่เกินร้อยละ 10
จากเดิมถือได้รายละไม่เกินร้อยละ 5 และมีสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นรวมใน ธพ. ได้ไม่เกินร้อยละ 25 โดยสามารถที่จะขอขยาย
สัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติเป็นรวมกันทุกรายไม่เกินร้อยละ 49 ได้ ในกรณีที่ ธปท.และ ก.คลังเห็นสมควร และให้ต่างชาติถือหุ้น
สถาบันการเงินไทยได้ร้อยละ 100 เฉพาะกรณีที่เข้าไปดำเนินการฟื้นฟูกิจการ (แนวหน้า, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ)
2. ยอดหนี้สาธารณะเดือน ก.ย.50 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 3,219 ล้านบาท เนื่องจากการออกพันธบัตรและตั๋วสัญญา
ใช้เงิน ก.คลัง เปิดเผยว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 ก.ย.50 มีจำนวน 3,178,485 ล้านบาท หรือร้อยละ 37.84 ของผลิตภัณฑ์
ในประเทศ (จีดีพี) เป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,051,363 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 906,374 ล้านบาท หนี้กองทุน
เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 185,154 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 35,593 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน
หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 3,219 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 6,687 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน และหนี้กองทุน
เพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 846 ล้านบาท และ 2,622 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นสุทธิ
ของหนี้สาธารณะเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านั้น เนื่องจากหนี้ในประเทศที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้นจากการออกพันธบัตรและตั๋วสัญญาใช้เงิน
เพื่อชดเชยการขาดดุล งปม. 9,361 ล้านบาท และ 2,540 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งยังได้ดำเนินการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังที่ครบกำหนด
1,000 ล้านบาท และชำระคืนเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่ 2 (FIDF3) จำนวน 4,550 ล้านบาท ส่วน
หนี้ต่างประเทศที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 336 ล้านบาท ขณะที่หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินนั้นลดลง เนื่องจากการไถ่ถอนพันธบัตร
และการชำระคืนต้นเงินกู้ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, มติชน, สยามรัฐ, แนวหน้า, ข่าวสด)
3. รมว.พลังงานชี้แผนอนุรักษ์พลังงานจะช่วยลดนำเข้าน้ำมันเหลือร้อยละ 35 ภายใน 4 ปีข้างหน้า รมว.พลังงาน กล่าวในงาน
สัมมนาจากงานสัมมนา “1 องศา จุดเปลี่ยนประเทศไทย” วานนี้ (26 พ.ย.50) ว่า การแก้ไขปัญหาโลกร้อนเป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือจากทุกฝ่าย
ทั้งการกำหนดนโยบาย ซึ่ง ก.พลังงานมีมาตรการแก้ปัญหา โดยมีนโยบายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนควบคู่กับการอนุรักษ์พลังงาน และ
ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนพลังงานทางเลือกได้ดำเนินการแล้วกว่า 100 โครงการ นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดส่งผลให้ลดการนำเข้าน้ำมันได้ ทั้งนี้ การนำเข้าน้ำมันในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย ในปี 48 ลดลง
ร้อยละ 6 ในปี 49 ลดลงร้อยละ 5 ในปี 50 ลดลงกว่าร้อยละ 6 และจากการนำแผนอนุรักษ์พลังงานมาใช้ เชื่อว่าภายใน 4 ปี ค่าเฉลี่ย
การนำเข้าน้ำมันของประเทศไทยจะต่ำกว่าร้อยละ 35 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลก และเป็นผลดีกับประเทศในระยะยาว นั่นหมายถึงว่า เรา
ไม่ต้องนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาพยุงราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังรอดูราคาน้ำมันในตลาดโลกอีก 1-2 วัน หากแนวโน้มราคายังปรับ
เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจพิจารณาปรับลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของดีเซลลงอีก (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ)
4. ต้นทุนการผลิตของธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจผลกระทบของผู้ประกอบการเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น พบว่า สมาชิก ส.อ.ท.ที่เป็น
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ประมาณ 400-500 ราย จากสมาชิกทั้งหมด 7,000 ราย ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น
ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 แต่สถานการณ์ยังไม่รุนแรงถึงขั้นปิดกิจการ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นกังวล คือ ผลกระทบในระยะยาว
หากราคาน้ำมันยังสูงขึ้นต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี แต่จะมีผลกระทบวงกว้าง ดังนั้น ส.อ.ท.จึงจัดทำข้อเสนอเพื่อยื่นต่อรัฐบาลใหม่
ขอทราบความชัดเจนและความต่อเนื่องนโยบายพัฒนาพลังงานทดแทน (เดลินิวส์, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. จีนไม่พอใจสหภาพยุโรปที่เรียกร้องความปลอดภัยในสินค้านำเข้าจากจีน รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 50
นาย Peter Mandelson กรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรปกล่าวกับทางการจีนเรื่องชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกจากจีนว่าไม่มีความปลอดภัย
และต้องการให้ทางการจีนดูแลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นซึ่งที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากจีนอาทิ ของเล่น ยาสีฟัน และสินค้าบริโภคต่างๆ
ไม่มีคุณภาพและไม่ปลอดภัย ทั้งนี้ข้อเรียกร้องดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างเย็นชาจาก รมว.อาวุโสของจีน ซึ่งนาย Peter Mandelson
กล่าวว่า EU จะไม่อดทนต่อจีนที่ไม่ดำเนินการกับสินค้าปลอม และอาจจะร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) รวมถึงประเด็นที่ EU ขาดดุล
การค้าจำนวนมหาศาลกับจีน ซึ่งกิจการหลายแห่งเห็นว่าไม่เป็นธรรมที่สินค้าจากจีนเข้ามาทุ่มตลาด EU และการที่จีนปล่อยให้ค่าเงินหยวนเมื่อ
เทียบกับเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างมากในปีนี้ โดยจะนำเข้าสู่การประชุมระหว่างจีนและ EU ในวันพุธนี้ด้วย (รอยเตอร์)
2. CSPI ของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ 27 พ.ย.50 ธ.กลางญี่ปุ่น
เปิดเผยว่า Corporate services price index (CSPI) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดมูลค่าการบริการระหว่างธุรกิจ ในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.4 เทียบต่อปี และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 และ 0.6 เทียบต่อปีและเทียบต่อเดือน ตามลำดับ
ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ธุรกิจที่นำมาประเมิน CSPI ประกอบด้วย ธุรกิจการเงินและประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การสื่อสาร โฆษณา
การบริการข้อมูล การเช่าและเช่าซื้อ รวมถึงบริการอื่นๆ (รอยเตอร์)
3. ธ.กลางมาเลเซียคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.5 รายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 26 พ.ย.50 ธ.กลางมาเลเซียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.5 เป็นครั้งที่ 13 ติดต่อกันและเป็นไปทิศทาง
เดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย และอินโดนีเซีย โดยให้เหตุผลว่ายังต้องใช้เวลาพิจารณาเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้านอย่างรอบคอบ
ไม่ว่าจะเป็น อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น หรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทั้งนี้ แม้ว่าระดับราคา
อาหาร ตลอดจนราคาเชื้อเพลิงและวัตถุดิบในการผลิตสินค้าที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ แต่ก็มีปัจจัยบางอย่างที่อาจช่วยลดแรงกดดัน
ด้านราคาลงได้ในปีหน้า เช่น กำลังการผลิตสินค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของมาเลเซียส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการส่งออกสินค้า
อิเล็กทรอนิกส์และวัตถุดิบในการผลิตสินค้า ซึ่งรัฐบาลกำลังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรักษาสมดุลของเศรษฐกิจภายในประเทศจากการ
ที่เศรษฐกิจของ สรอ. ชะลอตัวและปัญหาซับไพรม์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ด้านนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าหาก ธ.กลางมาเลเซียปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยนโยบายในเวลานี้อาจจะกระทบต่อผู้บริโภคและส่งผลกระทบถึงการเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 51 ดังนั้น ตราบเท่า
ที่ภาวะแวดล้อมของอัตราดอกเบี้ยยังเป็นบวกต่อเศรษฐกิจ คาดว่าจะไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ส่วนค่าเงินริงกิต
ที่แข็งค่าขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในปีนี้และการอุดหนุนราคาน้ำมันของรัฐช่วยควบคุมอัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียไม่ให้
เพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีในเดือน ต.ค. อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ต่ำมากกว่าครึ่งหนึ่งจากที่เคยขึ้นไปทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี ที่
ร้อยละ 4.8 เมื่อเดือน มี.ค.49 อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่าจะมีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในปีหน้า เนื่องจาก
ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจะกดดันให้รัฐบาลต้องปรับลดการอุดหนุนราคาน้ำมัน และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจะถูกผลักเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ขณะที่ ธ.กลางมาเลเซียกล่าวว่าความต้องการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจของมาเลเซียในปีหน้า
ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตร้อยละ 6.0 แต่ผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดว่าจะเติบโต
ร้อยละ 5.8(รอยเตอร์)
4. ผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ในเดือน ต.ค.50 ลดลงร้อยละ 3.0 เทียบต่อเดือน รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ 26 พ.ย.50
The Economic Development Board เปิดเผยว่า ผลผลิตโรงงงานของสิงคโปร์ในเดือน ต.ค.50 ลดลงร้อยละ 3.0 นับเป็นการลดลง
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 6.1 และ 14.0 ในเดือน ก.ย. และ ส.ค. ตามลำดับ และสวนทางกับการคาดการณ์ของ
นักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคาดว่าผลผลิตโรงงานจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ทั้งนี้ การที่ผลผลิตโรงงานในเดือน ต.ค.50 ลดลง มีสาเหตุจากผลผลิตผลิตภัณฑ์
ยาลดลงร้อยละ 19.5 เทียบต่อปี ส่วนผลิตภัณฑ์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และดิสไดร์ฟ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7, 10.3 และ 2.9
ตามลำดับ ขณะที่เมื่อเทียบต่อปีผลผลิตโรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.0 อนึ่ง
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า แม้จะมีความชัดเจนว่าการส่งออกไปยัง สรอ. ชะลอลง ตามภาวะเศรษฐกิจ สรอ. และก่อให้เกิดความกังวล
เนื่องจากประมาณ 1 ใน 4 ของระบบเศรษฐกิจสิงคโปร์ต้องพึ่งพาภาคการผลิต โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่มี สรอ.เป็นตลาด
หลักสำคัญ แต่ก็อาจชดเชยได้ด้วยการส่งออกไปยังจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่ขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะสินค้ากึ่งสำเร็จรูป (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 พ.ย. 50 26 พ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.836 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6179/33.9537 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38750 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 832.78/16.25 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,100/13,200 13,100/13,200 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 90.20 88.65 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 32.89*/29.34* 32.89*/29.34* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--